เพื่อแชร์ความรู้ ประสบการณ์ สไตล์นักลงทุนมือใหม่ ทั้งในด้านการลงทุนและการใช้ชีวิตส่วนตัว เป็นบันไดเพื่อก้าวไปสู่อิสรภาพทางการเงิน
วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560
สร้างพอร์ตเพื่อการศึกษาบุตร
วันพฤหัสบดี ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.42 น. เป็นวันที่ ด.ญ.ขวัญจิรา ภูโสภา (น้องของขวัญ) ได้ออกมาลืมตาดูโลก พร้อมกับเพื่อนๆอีกมากมายจนล้นห้องคลอด โรงพยาบาลชัยภูมิ ในวันนั้น ผ่านเวลาแห่งความสุขมาจนครบ 2 สัปดาห์ และอีกไม่กี่วันจะหมดปี 2560 อย่างรวดเร็ว..
วันนี้ผมตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด (เมื่อคืนหลับแซบ ตัวเล็กไม่ค่อยกวน) สมองปลอดโปร่ง เลยมีเวลามานั่งอ่านข่าว อ่านโน่นนี่นั่น และมีเวลาได้ติดตามพอร์ตการลงทุน รวมทั้งวางแผนการในปีหน้า
คิดขึ้นได้ว่า ตั้งแต่น้องของขวัญลืมตาดูโลกมา ทั้งพ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา เข้ามาเยี่ยมน้อง รวมทั้งได้กรุณาผูกแขนรับขวัญน้องมากมาย เราสามคนพ่อแม่ลูก จึงถือโอกาสขอบคุณทุกๆท่านเป็นอย่างสูง มา ณ ที่นี้ และเราสัญญาว่าจะนำเงินรับขวัญส่งต่อให้น้องของขวัญและจะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาดูกันว่า เราจะทำอย่างไร??
เรา(ผมกับภรรยา) ปรึกษากันและเริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนให้ลูกมาซักระยะแล้ว ติดตามบทความเก่า ได้ ที่นี่ >> วางแผนมีทายาท วางแผนการลงทุน และแน่นอนว่า เงินรับขวัญน้องของขวัญ เราคงเอาไปลงทุนต่อยอด สร้างเป็น "พอร์ตเพื่อการศึกษาบุตร" ต่อไป
จากรูป ด้วยสมมุติฐานที่ว่า ผมนำเงินรับขวัญ+เงินเก็บ ใส่เข้าไปในพอร์ตกองทุนหุ้น หรือ หุ้นรายตัว ด้วยจำนวนเงิน 50,000 บาท โดยไม่ได้เติมเงินเข้าไประหว่างทาง ใช้ระยะเวลาการลงทุน 18 ปี มาจากปีที่น้องของขวัญจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และคาดหวังผลตอบแทน 12% ต่อปี มาจากอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 42 ปี ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย
ฉะนั้น ด้วยเงินต้น 50,000 บาท เมื่อผ่านไป 18 ปี มูลค่าจะเพิ่มเป็น ประมาณ 380,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7.6 เท่า แน่นอนว่า เงินจำนวนที่ว่า อาจจะน้อยนิด และอาจจะไม่เพียงพอ สำหรับการเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็ไม่อาจทราบได้ว่า ในอนาคต ค่าเล่าเรียนจะสูงสักแค่ไหน แต่นี่คือจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ผมจะชี้ให้เห็นพลังของดอกเบี้ยทบต้นว่ามันมีประสิทธิภาพเพียงใด และอยากเชิญชวนทุกๆคน มาวางแผนไปกับเรา เพื่อชีวิตที่ดีในระยะยาว แล้วมาติดตามกันว่า เมื่อระยะเวลาผ่านไป พอร์ตเพื่อการศึกษาบุตร ของเราจะเติบโตขึ้นขนาดไหน และจะถึงเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่..
"เริ่มน้อยๆ ดีกว่าไม่เริ่ม" นะครับ
ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊ก ที่นี่!!
วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560
แชร์วิธีการคัดกรองหุ้นเบื้องต้น
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาแรงและเร็วมาก จนดัชนีเข้าใกล้ 1,700 จุด และมีแนวโน้มจะทะลุผ่านไปได้อีกด้วย มือใหม่อย่างผมก็ยังมึนๆงงๆ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งทับมือตัวเองไปเรื่อยๆ โดยการ ไม่ขายหุ้นที่ยังบวกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และขณะเดียวกันก็ไม่มีการซื้อเพิ่มแต่อย่างใด ได้แต่นั่งมองหุ้นที่เล็งๆไว้วิ่งขึ้นเป็นรถไฟเหาะเลยทีเดียว 5555
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า บทความนี้ผมตั้งใจจะมาแชร์วิธีการคัดกรองหุ้นแบบง่ายๆสไตล์มือใหม่ ซึ่งวิธีทั้งหมดทั้งมวล ผมก็ได้มาจากวิดีโอ youtube ของ a-academy อาจารย์ของผมนั่นเอง แต่ผมจะขออนุญาตนำมาบอกเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ตามวิธีการของผมละกันนะครับ...
ผมทำการศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุนในหุ้นมาประมาณ3ปีกว่าๆ ตั้งแต่ยังไม่มีเงินเก็บมาลงทุนด้วยซ้ำ จนเริ่มลงทุนในกองทุนหุ้นเมื่อ ม.ค.58 และ เริ่มซื้อหุ้นตัวแรกเมื่อ พ.ค.60 นี่เอง โดยหลักๆจะใช้วิธีการคัดกรองหุ้น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.) คัดธุรกิจที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจออกไปก่อน
>> ผมจะเข้าไปใน www.set.or.th ไปไล่ดูรายชื่อหุ้นทุกตัว ตั้งแต่ A-Z แล้วไปอ่านดูลักษณะธุรกิจ ตัวไหนยังไม่รู้จัก ยังไม่เข้าใจ ผมตัดออก สรุปแค่ข้อนี้ ผมคัดหุ้นออกไปเกินครึ่ง แล้วไปคัดกรองในเกณฑ์ถัดไป
2.) ต้องเป็นธุรกิจที่มีหนี้น้อย
>> ใช้ข้อมูลจาก www.set.or.th เช่นเคย โดยการใช้ (D/E Ratio = หนี้สินรวม/ส่วนของผู้ถือหุ้น) ตามรูป โดยค่าที่ได้ ไม่ควรเกิน 1-1.5 เท่า หากเกินนี้แสดงว่าบริษัทมีหนี้มากเกินไปแล้ว
3.) บริษัทต้องมีรายได้เติบโตดี สม่ำเสมอ
>> ทำการกรอกข้อมูลใส่ใน excel แล้วนำมาคิดเป็นเปอร์เซนต์การเติบโตเฉลี่ยในแต่ละปี ซึ่งบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ ควรโตเฉลี่ย 8-10% เพื่อสะท้อนว่าบริษัทยังสามารถขยายกิจการได้เรื่อยๆ
4.) อัตราการทำกำไรคุ้มค่า สม่ำเสมอ
>> ดูที่อัตรากำไรสุทธิ(NPM) ในแต่ละปี ไม่ควรน้อยกว่า 3-5% เพื่อยืนยันว่าบริษัทยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) ไม่ควรน้อยกว่า 15% เพื่อยืนยันว่า บริษัทสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ
** ดังนั้น บริษัทที่ผ่านเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อ ผมจะเก็บไว้เป็น Watch list (ซึ่งส่วนของผมจะมีประมาณ 20-30 บริษัท) เพื่อเอาไปศึกษาต่อ และนำไปประเมินมูลค่าที่แท้จริง เพื่อหาจุดเข้าซื้อต่อไป ซึ่งวิธีการประเมินมูลค่าหุ้น ผมจะนำมาแชร์ในบทความต่อไปครับ... ^_^
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า บทความนี้ผมตั้งใจจะมาแชร์วิธีการคัดกรองหุ้นแบบง่ายๆสไตล์มือใหม่ ซึ่งวิธีทั้งหมดทั้งมวล ผมก็ได้มาจากวิดีโอ youtube ของ a-academy อาจารย์ของผมนั่นเอง แต่ผมจะขออนุญาตนำมาบอกเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ตามวิธีการของผมละกันนะครับ...
ผมทำการศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุนในหุ้นมาประมาณ3ปีกว่าๆ ตั้งแต่ยังไม่มีเงินเก็บมาลงทุนด้วยซ้ำ จนเริ่มลงทุนในกองทุนหุ้นเมื่อ ม.ค.58 และ เริ่มซื้อหุ้นตัวแรกเมื่อ พ.ค.60 นี่เอง โดยหลักๆจะใช้วิธีการคัดกรองหุ้น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.) คัดธุรกิจที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจออกไปก่อน
>> ผมจะเข้าไปใน www.set.or.th ไปไล่ดูรายชื่อหุ้นทุกตัว ตั้งแต่ A-Z แล้วไปอ่านดูลักษณะธุรกิจ ตัวไหนยังไม่รู้จัก ยังไม่เข้าใจ ผมตัดออก สรุปแค่ข้อนี้ ผมคัดหุ้นออกไปเกินครึ่ง แล้วไปคัดกรองในเกณฑ์ถัดไป
2.) ต้องเป็นธุรกิจที่มีหนี้น้อย
>> ใช้ข้อมูลจาก www.set.or.th เช่นเคย โดยการใช้ (D/E Ratio = หนี้สินรวม/ส่วนของผู้ถือหุ้น) ตามรูป โดยค่าที่ได้ ไม่ควรเกิน 1-1.5 เท่า หากเกินนี้แสดงว่าบริษัทมีหนี้มากเกินไปแล้ว
3.) บริษัทต้องมีรายได้เติบโตดี สม่ำเสมอ
>> ทำการกรอกข้อมูลใส่ใน excel แล้วนำมาคิดเป็นเปอร์เซนต์การเติบโตเฉลี่ยในแต่ละปี ซึ่งบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ ควรโตเฉลี่ย 8-10% เพื่อสะท้อนว่าบริษัทยังสามารถขยายกิจการได้เรื่อยๆ
4.) อัตราการทำกำไรคุ้มค่า สม่ำเสมอ
>> ดูที่อัตรากำไรสุทธิ(NPM) ในแต่ละปี ไม่ควรน้อยกว่า 3-5% เพื่อยืนยันว่าบริษัทยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) ไม่ควรน้อยกว่า 15% เพื่อยืนยันว่า บริษัทสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ
** ดังนั้น บริษัทที่ผ่านเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อ ผมจะเก็บไว้เป็น Watch list (ซึ่งส่วนของผมจะมีประมาณ 20-30 บริษัท) เพื่อเอาไปศึกษาต่อ และนำไปประเมินมูลค่าที่แท้จริง เพื่อหาจุดเข้าซื้อต่อไป ซึ่งวิธีการประเมินมูลค่าหุ้น ผมจะนำมาแชร์ในบทความต่อไปครับ... ^_^
วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
เรื่องของ "หนี้" (สหกรณ์)
คิดอยู่นานมากๆ ว่าจะเขียนบทความเรื่องนี้ดีมั้ย?? เพราะว่าเรื่องที่จะเขียน มันอาจจะกระทบหลายๆคนที่มีปัญหาเรื่องนี้กันถ้วนหน้า แต่เพราะจุดประสงค์และความตั้งใจของผมตั้งแต่เริ่มต้นของการเขียนบทความคือ "เพื่อแชร์ความรู้ ประสบการณ์ สไตล์นักลงทุนมือใหม่ ทั้งในด้านการลงทุนและการใช้ชีวิตส่วนตัว เป็นบันไดเพื่อก้าวไปสู่อิสรภาพทางการเงิน" ดังนั้นความรู้ทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ผมจึงอยากจะเอามาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านและนำกลับไปคิดทบทวนกันเองนะครับ..
ที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องของ "หนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์" ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่มแยกประเภทตามอาชีพ เช่น สหกรณ์ครู ทหาร ตำรวจ สาธารณสุข พนักงานรัฐวิสาหกิจ สถาบันอุดมศึกษา ส่วนราชการ/ส่วนท้องถิ่น เอกชนและอื่นๆ ซึ่งข้อมูลจากนิตยสารการเงินการธนาคาร แสดงสัดส่วนการกู้ยืมของทุกกลุ่มสาขาอาชีพ สรุปได้ตามรูปต่อไปนี้
เป็นที่น่าตกใจว่า สัดส่วนที่มากที่สุดของการกู้ยืมเงินสหกรณ์ คือ "กู้หนี้ไปใช้หนี้" รองลงมาคือ ใช้สอยส่วนตัว ซื้อสร้างปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง ซื้อเครื่องใช้ในครัวเรือน ตามลำดับ ก่อนที่ผมจะเห็นข้อมูลนี้ ก็เข้าใจว่า คนที่กู้เงินสหกรณ์ส่วนใหญ่จะกู้ไปทำธุรกิจ หรือ กู้ไปซื้อที่อยู่อาศัย แต่เมื่อเห็นสัดส่วนแล้ว ผมก็ชักไม่แน่ใจซะแล้ว..
ทีนี้มาแยกดูแต่ละสาขาอาชีพกันบ้าง ผมจะขอยกตัวอย่างมาซัก 3 กลุ่มให้เห็นภาพกันคร่าวๆดังนี้ครับ
ตัวเลขดังกล่าวเป็นหนี้สินเฉลี่ยต่อคน ที่นำโด่งมาเลยก็หนีไม่พ้น "คุณครู" ของเรานี่เองครับ หนี้เฉลี่ยต่อคนสูงถึง 864,860 บาท อย่าลืมว่า นี่เป็นเพียงตัวเลขหนี้สหกรณ์ เท่านั้น ยังไม่รวมไปถึงหนี้สถาบันการเงินอื่นๆอีก ซึ่งผมก็เข้าใจว่า แต่ละคน ก็คงมีภาระแตกต่างกันไป คงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรมาก แค่ต้องการจะฝากให้ทุกท่านช่วยกันคิดวิเคราะห์และก็ตรวจสอบตัวเองดูละกันครับว่า ถึงเวลาที่เราจะหยุดก่อหนี้เพิ่ม แล้วหันมาใส่ใจสุขภาพทางการเงินในครอบครัวของเราแล้วหรือยัง ??
>> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊ก ที่นี่!! <<
ที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องของ "หนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์" ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่มแยกประเภทตามอาชีพ เช่น สหกรณ์ครู ทหาร ตำรวจ สาธารณสุข พนักงานรัฐวิสาหกิจ สถาบันอุดมศึกษา ส่วนราชการ/ส่วนท้องถิ่น เอกชนและอื่นๆ ซึ่งข้อมูลจากนิตยสารการเงินการธนาคาร แสดงสัดส่วนการกู้ยืมของทุกกลุ่มสาขาอาชีพ สรุปได้ตามรูปต่อไปนี้
ที่มา: www.facebook.com/moneyandbanking |
ทีนี้มาแยกดูแต่ละสาขาอาชีพกันบ้าง ผมจะขอยกตัวอย่างมาซัก 3 กลุ่มให้เห็นภาพกันคร่าวๆดังนี้ครับ
ตัวเลขดังกล่าวเป็นหนี้สินเฉลี่ยต่อคน ที่นำโด่งมาเลยก็หนีไม่พ้น "คุณครู" ของเรานี่เองครับ หนี้เฉลี่ยต่อคนสูงถึง 864,860 บาท อย่าลืมว่า นี่เป็นเพียงตัวเลขหนี้สหกรณ์ เท่านั้น ยังไม่รวมไปถึงหนี้สถาบันการเงินอื่นๆอีก ซึ่งผมก็เข้าใจว่า แต่ละคน ก็คงมีภาระแตกต่างกันไป คงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรมาก แค่ต้องการจะฝากให้ทุกท่านช่วยกันคิดวิเคราะห์และก็ตรวจสอบตัวเองดูละกันครับว่า ถึงเวลาที่เราจะหยุดก่อหนี้เพิ่ม แล้วหันมาใส่ใจสุขภาพทางการเงินในครอบครัวของเราแล้วหรือยัง ??
>> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊ก ที่นี่!! <<
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก
เมื่อพูดถึงธุรกิจค้าปลีก นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าของสโลแกน "หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา 7-Eleven" ที่ไม่ว่าจะเดินทางไปแห่งหนตำบลใด ก็ต้องพบกับร้านสะดวกซื้อชื่อดังแห่งนี้ และก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสุดยอดธุรกิจอันดับต้นๆของเมืองไทย..
7-Eleven หรือชื่อที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือ CPALL ถือว่าเป็นธุรกิจค้าปลีกอันดับ 1 ของเมืองไทย เป็นสุดยอดธุรกิจที่ยากจะหาใครมาแทนที่ ด้วยจำนวนสาขา ณ สิ้นไตรมาส 1/2560 รวมทั้งสิ้น 9,788 สาขา แบ่งเป็น :
(1) ร้านสาขาบริษัท 4,391 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 45)
(2) ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 5,397 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 55)
ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86 ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
>> เป้าหมาย : จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ในปี พ.ศ.2564
เมื่อมาดูที่งบการเงิน กวาดตาดูคร่าวๆ รายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของบริษัท ผมเป็นคนนึงที่เข้าไปซื้อของที่ 7-11 อย่างน้อยไม่น่าจะต่ำกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งจากข้อมูลในงบการเงินระบุว่า จำนวนลูกค้ารวมทุกสาขาประมาณ 11.5 ล้านคน/วัน และ ยอดขายรวมทุกสาขาประมาณ 760 ล้านบาท/วัน OMG!!!
แน่นอนว่า หุ้น CPALL เป็นหุ้นหนึ่งในดวงใจที่ผมเฝ้าติดตามมาเป็นเวลานาน ราคาปรับตัวขึ้นมาตลอดทาง และขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 65.75 บาท เมื่อวันที่ 17 พ.ค.60 หลังจากนั้นก็เริ่มย่อตัวสลับขึ้นเล็กน้อยเพื่อปรับฐาน จนถึงเมื่อวาน 12 ก.ค.60 ราคาตกลงมาอยู่ที่ 59.50 บาท ถ้ามองจากการประเมินมูลค่า ถือว่าราคาไม่ได้อยู่ในระดับที่ถูก แต่มันก็ทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะเริ่มแหย่เท้าเข้าไปซักเล็กน้อยเป็นการชิมลาง...
>>ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!!
7-Eleven หรือชื่อที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือ CPALL ถือว่าเป็นธุรกิจค้าปลีกอันดับ 1 ของเมืองไทย เป็นสุดยอดธุรกิจที่ยากจะหาใครมาแทนที่ ด้วยจำนวนสาขา ณ สิ้นไตรมาส 1/2560 รวมทั้งสิ้น 9,788 สาขา แบ่งเป็น :
(1) ร้านสาขาบริษัท 4,391 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 45)
(2) ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 5,397 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 55)
ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86 ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
>> เป้าหมาย : จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ในปี พ.ศ.2564
ที่มา www.set.or.th |
แน่นอนว่า หุ้น CPALL เป็นหุ้นหนึ่งในดวงใจที่ผมเฝ้าติดตามมาเป็นเวลานาน ราคาปรับตัวขึ้นมาตลอดทาง และขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 65.75 บาท เมื่อวันที่ 17 พ.ค.60 หลังจากนั้นก็เริ่มย่อตัวสลับขึ้นเล็กน้อยเพื่อปรับฐาน จนถึงเมื่อวาน 12 ก.ค.60 ราคาตกลงมาอยู่ที่ 59.50 บาท ถ้ามองจากการประเมินมูลค่า ถือว่าราคาไม่ได้อยู่ในระดับที่ถูก แต่มันก็ทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะเริ่มแหย่เท้าเข้าไปซักเล็กน้อยเป็นการชิมลาง...
>>ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!!
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
เลือกหุ้นจาก "ภรรยา"
ผู้หญิง มักมาพร้อมกับความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง เธอทั้งหลายต้องจัดเต็มกันตลอดเวลา ทั้งเดินช้อปตามห้างและสั่งซื้อออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีให้ถลุงกันเยอะแยะไปหมด แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ภรรยาคนสวยของผมไม่ค่อยใส่ใจมากนัก อาจจะมีบ้างนานๆที (นี่เป็นเหตุผลที่ผมเลือกเธอมาเป็นคู่ชีวิต ^_^ ) >>จั่วหัวมาซะขนาดนี้จะมีคนอ่านต่อมั้ยวะเนี่ย 55555+
แต่!!...มีสิ่งนึงที่เธอชอบมาก หลายๆครั้งที่มีเวลาว่าง เธอจะเปิด Internet นั่งดู นั่งชมเพลินๆตลอด นั่นคือ "เพชร" ไม่ว่าจะเป็นแหวน จี้ ต่างหู สร้อยคอ พอเปิดดูแต่ละทีก็ต้องแลซ้ายมาถามสามีทุกทีว่า อันนี้สวยมั้ย แบบนี้สวยมั้ย แบบไหนสวยกว่ากัน ทู้กกกกที ไอ้เราก็ต้องตอบเธอทุกครั้ง (ลองไม่ตอบดูสิ!!)
ด้วยความที่ผมเริ่มสนใจศึกษาธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว ผมเลยคิดว่าธุรกิจผลิตและจำหน่ายเพชรก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อก่อน ผมก็คิดว่าคนที่ได้ครอบครองเพชรต้องเป็นคนที่มีฐานะพอสมควร แต่ด้วยความที่ภรรยาผมชอบเปิดให้ดูนู่นดูนี่บ่อยๆ ก็พบว่า คนชั้นกลางอย่างเราๆก็สามารถซื้อเพชรได้ในราคาที่ไม่แพงนัก จึงจุดประกายให้ผมเริ่มเข้าไปศึกษาข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น และก็พบว่า...
1) ปัจจุบันบริษัทมีจุดจำหน่ายเพชร 122 สาขาทั่วประเทศ ส่วนมากจะอยู่ตามห้างสรรพสินค้าตามหัวเมือง และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2) ฐานลูกค้าปัจจุบันมีประมาณ 150,000 ราย ซึ่งมีโอกาสเพิ่มขึ้น จากแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จัก และจากสังคมที่คนมีรายได้เพิ่มขึ้น มีกำลังจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น
ผมทำการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทนี้แล้ว เห็นว่าราคายังต่ำกว่ามูลค่าพอสมควร อาจจะเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่คนยังไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอยเท่าไรนัก โดยเฉพาะในสินค้าฟุ่มเฟือย เป็นโอกาสดีที่เราจะเข้าไปสะสมหุ้น เพื่อรอจังหวะที่บริษัทเริ่มมีกำไรกลับมาเติบโตขึ้น และราคาหุ้นก็จะสะท้อนมูลค่าของกิจการออกมา ถึงตอนนั้นเราก็คงต้องมาพิจารณาอีกทีว่าจะขายทำกำไรหรือจะถือหุ้นต่อไป...
ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!!
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ลงทุนหุ้น(อาจจะ)เสี่ยง..แต่!! คุณหลีกเลี่ยงมันได้ จริงหรือ??
หลังจากที่ผมได้แชร์ประสบการณ์เรื่องการลงทุนไปหลายบทความ เริ่มมีหลายๆคนที่รู้จัก เริ่มสนใจ อยากที่จะเข้ามาลงทุนทั้งในรูปแบบของหุ้นรายตัว และกองทุนรวม คำถามแรกที่คนส่วนมากจะถาม (ทั้งที่ผมไม่อยากให้เริ่มจากคำถามนี้เลย) คือ "เป็นไงบ้าง กำไรดีมั้ย , ผลตอบแทนได้กี่% , ซื้อตัวไหนบ้าง ,ตัวนี้ดีมั้ย ,ตัวไหนกำลังมา ฯลฯ) บางคน พอได้รับคำตอบจากผม สิ่งที่เคยคาดไว้ก็ไม่ผิดจากที่ผมคิด..
"ไม่เอาดีกว่า..มันช้า ขี้เกียจรอ ปล่อยเงินกู้ดีกว่าบ้างแหละ...เล่นแชร์ดีกว่าบ้างแหละ...กลับไปลุ้นหวยเหมือนเดิมดีกว่าบ้างแหละ...บลา บลา บลา" ผมก็ไม่ได้ฟันธงว่าอย่างไหนดีกว่ากัน แล้วผมก็ไม่ได้บังคับใครให้มาลงทุนนี่หว่า แนะนำไปก็ไม่ได้เงินซักบาท เราก็แค่แชร์เรื่องราวที่(อาจจะ)เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมโลกก็แค่นั้น แต่ที่ผมอยากจะตั้งคำถามกับทุกคนคือ..คุณหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นได้จริงหรือ?? มา..เดี๋ยวมาดูกัน...
1. กองทุนประกันสังคม ที่เราๆท่านๆโดนหักไปทุกๆเดือน เค้าเอาเงินเราไปทำอะไรกัน ??
ข้อมูลเมื่อ วันที่ 31/8/2556 กองทุนประกันสังคมแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเป็น 6% ของพอร์ต แต่เมื่อแนวโน้มของเงินที่จะต้องจ่ายให้ผู้เกษียณอายุหรือผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องปรับสัดส่วนการลงทุนไปหาสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าในระยะยาว แผนการลงทุนเมื่อถึง วันที่ 31/12/2561 กองทุนประกันสังคมต้องลงทุนในหุ้น 21% ของพอร์ต
2. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
ที่มา : www.a-academy.net |
จากข้อมูลตามตาราง(ลางๆ) จะเห็นสัดส่วนการลงทุนซึ่งผมจะยกเฉพาะตราสารทุน(ซึ่งก็คือ "หุ้น") ปรากฎว่า แผนการลงทุนของ กบข.สำหรับข้าราชการที่มีอายุไม่เกิน 45 ปี มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นถึง 65% ของพอร์ต หลังจาก 45 ปีขึ้นไป กองทุนก็จะทำการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเรื่อยๆเพื่อลดความเสี่ยงไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่ง ผมก็ไม่แน่ใจว่า ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทราบหรือไม่ว่าที่ท่านๆโดนหักเงินไปทุกๆเดือน เค้าเอาไปลงทุนใน "หุ้น" นะครับท่าน..
3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ที่มา : www.bangkokbiznews.com |
แผนการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของแต่ละบริษัท อาจจะแตกต่างกันไปตามนโยบาย แต่ยังไงก็แล้วแต่ ทางเลือกของการลงทุนก็จะยังมีหุ้นอยู่ด้วยในเกือบจะทุกแผนอยู่แล้ว
หลังจากตัวอย่างทั้ง 3 ข้อ ผมขอถามซ้ำอีกครั้ง..คุณหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นได้จริงหรือ?? ผมคงไม่ต้องตอบคำถามนี้แล้ว ถ้าทุกคนได้อ่านมาตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้น มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทุกคนต้องศึกษาวิชาการลงทุนเป็นวิชาติดตัว อย่าไปยึดติดคำโบราณที่บอกว่า "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" ทั้งที่คุณเองก็ได้ลงทุนในหุ้นไปแล้วโดยที่คุณ(อาจจะ)ไม่รู้ตัว...
>>ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<
วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร
ธนาคารพาณิชย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีประมาณ 10 กว่าบริษัท โดยมีทั้งธนาคารขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่ง บิ๊กโฟร์ ที่เราคุ้นเคยกันดีก็อย่างเช่น ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กสิกรไทย แต่ละบริษัทก็มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งแตกต่างกันไป
ผมก็เป็นคนนึงที่เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ โดยความเห็นส่วนตัวผมมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง เนื้อหอม ใครๆก็อยากเข้าไปขอกู้เงิน ยกตัวอย่างง่ายๆกับคนใกล้ตัวผม ใครๆก็อยากมีบ้าน จะซื้อเงินสดคงไม่ไหว อยากมีธุรกิจ อยากมีโน่นนี่นั่น ก็ต้องเดินเข้าไปธนาคารเพื่อขอกู้เงิน ฉะนั้น
1. ผู้กู้ (เราๆท่านๆ) ก็จะมีสถานะเป็น "ลูกหนี้"
2. ผู้ให้กู้ (ธนาคาร) ก็จะมีสถานะเป็น "เจ้าหนี้"
3. ผู้ถือหุ้น (ผม) ก็จะมีสถานะเป็น "เจ้าของ" ผมก็ไม่ต้องลงแรงอะไร แค่รอรับเงินปันผลจากกำไรของกิจการ หรือโชคดีหน่อยก็ได้รับกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น [แม่ง!!เท่โคตร ถือแค่ 100 หุ้น ทำเป็นคุย 555+]
ทีนี้มาดูกันว่า ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร เราจะเข้าลงทุนในช่วงไหนกัน...
จากภาพ เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นตัว อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แต่ถ้ามองในภาพกว้าง ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจดูดีขึ้น เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น พี่ไทยเองก็เริ่มมีการลงทุนภาครัฐในโครงการใหญ่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นช่วงจังหวะในการสะสมหุ้น เมื่อต้องลงทุน บริษัทต่างๆก็ต้องมากู้เงินธนาคาร เมื่อธนาคารปล่อยกู้ได้เยอะ ก็จะได้กำไรจากดอกเบี้ยเงินกู้เยอะ (ยังไม่พูดถึงหนี้เสียนะ) พอภาครัฐเริ่มลงทุน ภาคเอกชนก็มั่นใจ เริ่มเข้ามาลงทุน มีการใช้จ่ายในการบริโภคเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจก็ขยายตัวไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงรุ่งเรือง พอรุ่งเรืองสุดขีด ก็เข้าสู่ช่วงถดถอย และเข้าสู่ช่วงตกต่ำในที่สุด
ฉะนั้น เราก็น่าจะพอมองภาพออกแล้วว่า หุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหุ้นที่แปรผันตามวัฏจักรเศรษฐกิจ การจะเข้าไปซื้อขายหุ้นก็อาจจะต้องเข้าออกให้ถูกจังหวะด้วยนะครับ...
ติดตามอ่านบทความอื่นๆ >> คลิ๊กที่นี่!!
ผมก็เป็นคนนึงที่เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ โดยความเห็นส่วนตัวผมมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง เนื้อหอม ใครๆก็อยากเข้าไปขอกู้เงิน ยกตัวอย่างง่ายๆกับคนใกล้ตัวผม ใครๆก็อยากมีบ้าน จะซื้อเงินสดคงไม่ไหว อยากมีธุรกิจ อยากมีโน่นนี่นั่น ก็ต้องเดินเข้าไปธนาคารเพื่อขอกู้เงิน ฉะนั้น
1. ผู้กู้ (เราๆท่านๆ) ก็จะมีสถานะเป็น "ลูกหนี้"
2. ผู้ให้กู้ (ธนาคาร) ก็จะมีสถานะเป็น "เจ้าหนี้"
3. ผู้ถือหุ้น (ผม) ก็จะมีสถานะเป็น "เจ้าของ" ผมก็ไม่ต้องลงแรงอะไร แค่รอรับเงินปันผลจากกำไรของกิจการ หรือโชคดีหน่อยก็ได้รับกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น [แม่ง!!เท่โคตร ถือแค่ 100 หุ้น ทำเป็นคุย 555+]
ทีนี้มาดูกันว่า ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร เราจะเข้าลงทุนในช่วงไหนกัน...
ที่มา : สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI) |
ฉะนั้น เราก็น่าจะพอมองภาพออกแล้วว่า หุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหุ้นที่แปรผันตามวัฏจักรเศรษฐกิจ การจะเข้าไปซื้อขายหุ้นก็อาจจะต้องเข้าออกให้ถูกจังหวะด้วยนะครับ...
รายชื่อหุ้นกลุ่มธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ |
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560
เล่นหุ้น & ลงทุนหุ้น
ผมขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน 12 มิ.ย.60 ครับ ด้วยความอยากรู้อยากลองตามประสานักลงทุนมือใหม่ ผมเข้าไปลองแหย่ขาซื้อหุ้นตัวนึงอย่างกล้าๆกลัวๆ ที่ราคาตกลงมารุนแรงหลายวัน จนเมื่อวานตอนตลาดเปิด ราคาเริ่มเด้งขึ้น เลยแย๊บขวาเข้าไปเล็กน้อย ผ่านไปไม่กี่นาที ราคาก็ขยับขึ้นเรื่อยๆ มือใหม่อย่างผมเกิดอาการตกใจทำอะไรไม่ถูก เลยปล่อยให้ราคามันวิ่งไปเรื่อยๆ จนก่อนตลาดปิด ผมตัดสินใจตั้งขาย แต่ราคามันก็ยังไม่ขึ้นมาถึงจุดที่ผมตั้งขายซะที..
เช้า 13 มิ.ย. 60 ตลาดเปิด ผมตั้งใจมาจากเมื่อวานแล้วว่าราคาเปิดมาเท่าไหร่ผมก็จะขาย ไม่อยากเก็บไว้นานให้ทรมานจิตใจ ปรากฏว่าราคาเปิดโดดมาตามที่ผมตั้งใจจะขายเมื่อวานพอดี ผมตัดสินใจขายหุ้นตัวนี้ออกทันที
สรุป ผมทำกำไรไป 11.37% จากหุ้นตัวนี้ในเวลาไม่ถึง 2 วัน แต่ครั้งนี้ผมอาจจะโชคดี ผมคงทำไม่ได้อย่างนี้บ่อยๆ จากตัวอย่าง เป็นการเล่นหุ้น (ที่ไม่มีแบบแผนห่าเหวอะไรเลย) แต่ที่ผมทำ แค่อยากลองบริหารจิตใจดูว่ามันจะตื่นเต้นขนาดไหนกันเชียว แต่พอได้ลองแล้ว วิธีนี้มันคงไม่เหมาะกับคนใจปลาซิวอย่างผมแน่ๆ 555+
แนวทางหลักของผมก็คงจะเป็นการ ลงทุนในหุ้น ที่มีการวิเคราะห์ธุรกิจมาเป็นอย่างดี มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลจากการประเมินมูลค่าหุ้น ตามที่เคยเขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้...>>ติดตามอ่านบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!!
เช้า 13 มิ.ย. 60 ตลาดเปิด ผมตั้งใจมาจากเมื่อวานแล้วว่าราคาเปิดมาเท่าไหร่ผมก็จะขาย ไม่อยากเก็บไว้นานให้ทรมานจิตใจ ปรากฏว่าราคาเปิดโดดมาตามที่ผมตั้งใจจะขายเมื่อวานพอดี ผมตัดสินใจขายหุ้นตัวนี้ออกทันที
ทุน 1.27 บาท ผมขายไปที่ 1.41 บาท |
แนวทางหลักของผมก็คงจะเป็นการ ลงทุนในหุ้น ที่มีการวิเคราะห์ธุรกิจมาเป็นอย่างดี มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลจากการประเมินมูลค่าหุ้น ตามที่เคยเขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้...>>ติดตามอ่านบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!!
วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560
เดินห้าง..ช้อปหุ้น..
เชื่อว่าวัยรุ่น วัยจ๊าบอย่างเราๆ เดือนๆนึง ต้องไปเดินห้างอย่างน้อยเดือนละครั้ง บางคนอาจจะไปซื้อของใช้จำเป็นเข้าบ้าน ซื้อเสื้อผ้า ซื้อโทรศัพท์ ไปทำธุรกรรมทางการเงิน ไปเดินตากแอร์เล่นๆ ซื้ออีกหลายๆอย่างสารพัด และก็มีไม่น้อยที่บางคนพาครอบครัว พาคนรัก พาเพื่อนฝูง ไปหาอะไรกินอร่อยๆที่มีให้เลือกเต็มไปหมด ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ธุรกิจร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเป็นเทรนปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันสูงมากๆ ซึ่งหลายๆแบรนด์ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และก็เร่งขยายสาขากันเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสไปเดินเล่นตามห้างต่างๆ ผมก็จะสังเกตุผู้คนที่เข้าไปกินอาหารในร้าน และก็พบว่า มีร้านที่เป็นแบรนด์ยอดฮิตที่ผมสนใจอยู่หลายร้านทีเดียว ที่คนจะเต็มตลอด บางร้านถึงขั้นต่อคิวกันซื้อก็มี ในฐานะที่เป็นนักลงทุน(มือใหม่) กับสไตล์การลงทุนแบบง่ายๆโง่ๆก็เกิดความคิดอยากจะลงทุนในธุรกิจอาหารเข้าให้แล้ว..
จริงๆในลิสต์ที่ผมทำการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอาหารมีประมาณ 3 บริษัทที่จ้องจะเข้าไปซื้อ แต่พอประเมินมูลค่าหุ้นแล้วมันยังแพงมากจนซื้อไม่ลง สุดท้าย วันที่ได้สอยหุ้นกลุ่มนี้ก็มาถึง จริงๆแล้วบริษัทที่ว่านี้ทำธุรกิจหลักๆอยู่ 3อย่างด้วยกัน คือ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และอื่นๆ ผมเข้าไปศึกษาธุรกิจ อ่านงบการเงิน อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ทำการประเมินมูลค่าหุ้นจนมั่นใจว่าจะลองแหย่ขาเข้าไปเป็นส่วงนึงของผู้ถือหุ้น
วันประกาศงบการเงินไตรมาส 1/60 (น่าจะประมาณวันที่ 15 พ.ค. 60 ) ปรากฏว่ากำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง เกิดแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างรุนแรง ราคาหุ้นลดลงไปจนถึงจุดที่ผมยอมรับได้ ผมไม่ลังเลที่จะสอยหุ้นตัวนี้เข้ามาในพอร์ตด้วยจำนวนเงินมหาศาล (100 หุ้น ฮ่าๆๆ) เพราะผมมองว่าธุรกิจนี้ยังสามารถเติบโตต่อไปในระยะยาว คนก็ต้องกินอาหารกันทุกวัน คนก็ต้องการที่อยู่อาศัยกันทุกคืน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย4 ยังไงแม่งก็ไม่มีทางเจ๊งแน่ๆวะ ในที่สุดผมก็ได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทนี้เรียบร้อย
อย่างที่เคยพูดไปในบทความที่แล้วว่า จำนวนเงินลงทุนผมยังน้อยนัก ถึงราคาหุ้นจะไม่เป็นไปตามที่ผมประเมินก็ไม่เป็นอะไรมาก ถือเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้(ตามแนวทางที่ผมเลือก) คือ "ซื้อหุ้นให้เหมือนซื้อกิจการ" แล้วถือยาวๆตราบใดที่พื้นฐานธุรกิจยังไม่เปลี่ยน ต่อไปเวลาเดินห้างผมก็โม้กับใครต่อใครได้แล้วว่า "กูเป็นเจ้าของแบรนด์นี้เว้ยยย!!! 555+"
>> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<
ธุรกิจร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเป็นเทรนปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันสูงมากๆ ซึ่งหลายๆแบรนด์ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และก็เร่งขยายสาขากันเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสไปเดินเล่นตามห้างต่างๆ ผมก็จะสังเกตุผู้คนที่เข้าไปกินอาหารในร้าน และก็พบว่า มีร้านที่เป็นแบรนด์ยอดฮิตที่ผมสนใจอยู่หลายร้านทีเดียว ที่คนจะเต็มตลอด บางร้านถึงขั้นต่อคิวกันซื้อก็มี ในฐานะที่เป็นนักลงทุน(มือใหม่) กับสไตล์การลงทุนแบบง่ายๆโง่ๆก็เกิดความคิดอยากจะลงทุนในธุรกิจอาหารเข้าให้แล้ว..
จริงๆในลิสต์ที่ผมทำการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอาหารมีประมาณ 3 บริษัทที่จ้องจะเข้าไปซื้อ แต่พอประเมินมูลค่าหุ้นแล้วมันยังแพงมากจนซื้อไม่ลง สุดท้าย วันที่ได้สอยหุ้นกลุ่มนี้ก็มาถึง จริงๆแล้วบริษัทที่ว่านี้ทำธุรกิจหลักๆอยู่ 3อย่างด้วยกัน คือ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และอื่นๆ ผมเข้าไปศึกษาธุรกิจ อ่านงบการเงิน อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ทำการประเมินมูลค่าหุ้นจนมั่นใจว่าจะลองแหย่ขาเข้าไปเป็นส่วงนึงของผู้ถือหุ้น
วันประกาศงบการเงินไตรมาส 1/60 (น่าจะประมาณวันที่ 15 พ.ค. 60 ) ปรากฏว่ากำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง เกิดแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างรุนแรง ราคาหุ้นลดลงไปจนถึงจุดที่ผมยอมรับได้ ผมไม่ลังเลที่จะสอยหุ้นตัวนี้เข้ามาในพอร์ตด้วยจำนวนเงินมหาศาล (100 หุ้น ฮ่าๆๆ) เพราะผมมองว่าธุรกิจนี้ยังสามารถเติบโตต่อไปในระยะยาว คนก็ต้องกินอาหารกันทุกวัน คนก็ต้องการที่อยู่อาศัยกันทุกคืน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย4 ยังไงแม่งก็ไม่มีทางเจ๊งแน่ๆวะ ในที่สุดผมก็ได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทนี้เรียบร้อย
อย่างที่เคยพูดไปในบทความที่แล้วว่า จำนวนเงินลงทุนผมยังน้อยนัก ถึงราคาหุ้นจะไม่เป็นไปตามที่ผมประเมินก็ไม่เป็นอะไรมาก ถือเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้(ตามแนวทางที่ผมเลือก) คือ "ซื้อหุ้นให้เหมือนซื้อกิจการ" แล้วถือยาวๆตราบใดที่พื้นฐานธุรกิจยังไม่เปลี่ยน ต่อไปเวลาเดินห้างผมก็โม้กับใครต่อใครได้แล้วว่า "กูเป็นเจ้าของแบรนด์นี้เว้ยยย!!! 555+"
>> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ลงทุนหุ้นตัวแรก
วันนี้เป็นวันที่2 ที่ผมพาภรรยามาโรงพยาบาลจากอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง หลังจากกลางดึกวันเสาร์ที่ต้องนอนรอดูอาการไปรอบนึง สามีอย่างผมก็ต้องทำใจ และก็ต้องเข้าใจหัวอกคนท้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอาน่า!!สู้ๆจ้าแม่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...
ระหว่างที่นั่งรอคุณแม่พบหมอ พร้อมกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว กับญาติและคนไข้หนาตาหลายพันชีวิต (ตามสไตล์โรงพยาบาลรัฐ) นั่งมองนั่นนี่นู่น เลยนึกขึ้นได้ว่านี่เรายังไม่ได้เขียนแชร์ประสบการณ์ซื้อหุ้นตัวแรกนี่หว่า!! ว่าแล้วก็จับโทรศัพท์ขึ้นมาโซโล่ทันที...
อย่างที่ผมเคยเล่าไปในบทความก่อนๆว่า ผมเริ่มลงทุนในกองทุนรวมมาได้ซักประมาณ2ปีกว่าๆแล้ว แต่ในระหว่างที่ค่อยๆสะสมเงินลงทุน ผมก็ได้ศึกษาหุ้นรายตัวคู่ขนานกันมาเรื่อยๆ ผมทำการคัดกรองหุ้นแบบง่ายๆโง่ๆ ตามแบบฉบับของพี่เอ (a-academy) โดยการศึกษาทาง youtube ฟังจนเรียกได้ว่าอินและเข้าเส้นไปแล้วเรียบร้อย คัดจนได้หุ้นใน list มาประมาณ 30 บริษัท ซึ่งมี 10 บริษัทที่เรียกได้ว่าติดตามเป็นพิเศษ ทำการศึกษาแนวโน้มเศรษฐกิจ ศึกษาธุรกิจอย่างละเอียด อ่านงบการเงิน อ่านรายงานประจำปี อ่าน56-1 อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เฝ้าดูผลประกอบการรายไตรมาส ทำการประเมินมูลค่าหุ้น และสุดท้ายเฝ้าดูพฤติกรรมราคา....
แม่ง!!เขียนอะไรยาวจังวะ มึงบอกมาเลยดีกว่า มึงซื้อตัวไหน?? 555+
นี่เป็นการประเมินมูลค่าหุ้นตัวแรกของผม วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นหาดูได้ที่ www.a-academy.com (ไว้ตอนหน้าผมจะมาเล่ารายละเอียดให้ฟังครับ) เป็นหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งหุ้นบริษัทนี้ นักลงทุนประเมินมูลค่าไว้สูงมาก เนื่องจากคาดหวังการเติบโตในระยะยาวของบริษัทที่คาดว่าในอนาคตประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้คนเจ็บป่วยมากขึ้น เข้าโรงพยาบาลกันมากขึ้น สังคมชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น มีกำลังซื้อมากขึ้น ทำให้ต้องการความสะดวกสบายในโรงพยาบาลเอกชน ฯลฯ
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของคนส่วนใหญ่ รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตต่อเนื่องมา 3-4 ปีติดต่อกัน ราคาหุ้นก็สะท้อนมูลค่าโดยการปรับตัวขึ้นมาตลอด ผมเฝ้ามองหุ้นบริษัทนี้ด้วยความอิจฉาคนที่ถือหุ้นอยู่ ป่านนี้คงกำไรมหาศาลกันทุกคนแล้ว
จนถึงเมื่อปลายปี ก.ย.59 บริษัทมีข่าวเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมแห่งหนึ่งมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์สุขภาพครบวงจร นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้น เพราะคาดการณ์ว่าผลประกอบการณ์จะลดลงจากเงินลงทุนก้อนโต ราคาหุ้นก็ลดลงมาเรื่อยๆตั้งแต่นั้นมา
15 พ.ค. 60 บริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/60 มีผลกำไรลดลงประมาณ 24% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
16 พ.ค. 60 คนรอบข้างส่วนใหญ่ใจจดใจจ่อกับการลุ้นหวย แต่ผมเข้าซื้อหุ้นตัวนี้หลังจากที่ราคาลดลงจากเมื่อวานประมาณ 7% และราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง
ผมอาจจะประเมินมูลค่าผิดพลาดไปบ้าง ราคาอาจจะไม่สมเหตุสมผลตามอารมณ์ของตลาด แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นตัวแรก เงินลงทุนผมยังน้อยนัก ถึงแม้ราคาหุ้นจะตกจนผมขาดทุนเกิน 50% ในระยะสั้นก็ตาม ผมก็ยังเชื่อลึกๆว่า ในเมื่อผมเลือกบริษัทที่พื้นฐานดี ราคาสมเหตุสมผล มีส่วนเผื่อความปลอดภัย ต่อให้ราคาจะลงไปถึงจุดไหน สุดท้ายในระยะยาว ราคาหุ้นก็จะปรับสมดุลไปหาผลประกอบการ บริษัทอยู่ได้ เราก็ไม่มีทางเจ๊งจนถึงขาดทุนเงินทั้งหมด(เหมือนซื้อหวย)อย่างแน่นอน...
ติดตามบทความอื่นๆ คลิกที่นี่!!
ระหว่างที่นั่งรอคุณแม่พบหมอ พร้อมกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว กับญาติและคนไข้หนาตาหลายพันชีวิต (ตามสไตล์โรงพยาบาลรัฐ) นั่งมองนั่นนี่นู่น เลยนึกขึ้นได้ว่านี่เรายังไม่ได้เขียนแชร์ประสบการณ์ซื้อหุ้นตัวแรกนี่หว่า!! ว่าแล้วก็จับโทรศัพท์ขึ้นมาโซโล่ทันที...
อย่างที่ผมเคยเล่าไปในบทความก่อนๆว่า ผมเริ่มลงทุนในกองทุนรวมมาได้ซักประมาณ2ปีกว่าๆแล้ว แต่ในระหว่างที่ค่อยๆสะสมเงินลงทุน ผมก็ได้ศึกษาหุ้นรายตัวคู่ขนานกันมาเรื่อยๆ ผมทำการคัดกรองหุ้นแบบง่ายๆโง่ๆ ตามแบบฉบับของพี่เอ (a-academy) โดยการศึกษาทาง youtube ฟังจนเรียกได้ว่าอินและเข้าเส้นไปแล้วเรียบร้อย คัดจนได้หุ้นใน list มาประมาณ 30 บริษัท ซึ่งมี 10 บริษัทที่เรียกได้ว่าติดตามเป็นพิเศษ ทำการศึกษาแนวโน้มเศรษฐกิจ ศึกษาธุรกิจอย่างละเอียด อ่านงบการเงิน อ่านรายงานประจำปี อ่าน56-1 อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เฝ้าดูผลประกอบการรายไตรมาส ทำการประเมินมูลค่าหุ้น และสุดท้ายเฝ้าดูพฤติกรรมราคา....
แม่ง!!เขียนอะไรยาวจังวะ มึงบอกมาเลยดีกว่า มึงซื้อตัวไหน?? 555+
นี่เป็นการประเมินมูลค่าหุ้นตัวแรกของผม วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นหาดูได้ที่ www.a-academy.com (ไว้ตอนหน้าผมจะมาเล่ารายละเอียดให้ฟังครับ) เป็นหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งหุ้นบริษัทนี้ นักลงทุนประเมินมูลค่าไว้สูงมาก เนื่องจากคาดหวังการเติบโตในระยะยาวของบริษัทที่คาดว่าในอนาคตประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้คนเจ็บป่วยมากขึ้น เข้าโรงพยาบาลกันมากขึ้น สังคมชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น มีกำลังซื้อมากขึ้น ทำให้ต้องการความสะดวกสบายในโรงพยาบาลเอกชน ฯลฯ
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของคนส่วนใหญ่ รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตต่อเนื่องมา 3-4 ปีติดต่อกัน ราคาหุ้นก็สะท้อนมูลค่าโดยการปรับตัวขึ้นมาตลอด ผมเฝ้ามองหุ้นบริษัทนี้ด้วยความอิจฉาคนที่ถือหุ้นอยู่ ป่านนี้คงกำไรมหาศาลกันทุกคนแล้ว
จนถึงเมื่อปลายปี ก.ย.59 บริษัทมีข่าวเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมแห่งหนึ่งมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์สุขภาพครบวงจร นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้น เพราะคาดการณ์ว่าผลประกอบการณ์จะลดลงจากเงินลงทุนก้อนโต ราคาหุ้นก็ลดลงมาเรื่อยๆตั้งแต่นั้นมา
15 พ.ค. 60 บริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/60 มีผลกำไรลดลงประมาณ 24% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
16 พ.ค. 60 คนรอบข้างส่วนใหญ่ใจจดใจจ่อกับการลุ้นหวย แต่ผมเข้าซื้อหุ้นตัวนี้หลังจากที่ราคาลดลงจากเมื่อวานประมาณ 7% และราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง
ผมอาจจะประเมินมูลค่าผิดพลาดไปบ้าง ราคาอาจจะไม่สมเหตุสมผลตามอารมณ์ของตลาด แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นตัวแรก เงินลงทุนผมยังน้อยนัก ถึงแม้ราคาหุ้นจะตกจนผมขาดทุนเกิน 50% ในระยะสั้นก็ตาม ผมก็ยังเชื่อลึกๆว่า ในเมื่อผมเลือกบริษัทที่พื้นฐานดี ราคาสมเหตุสมผล มีส่วนเผื่อความปลอดภัย ต่อให้ราคาจะลงไปถึงจุดไหน สุดท้ายในระยะยาว ราคาหุ้นก็จะปรับสมดุลไปหาผลประกอบการ บริษัทอยู่ได้ เราก็ไม่มีทางเจ๊งจนถึงขาดทุนเงินทั้งหมด(เหมือนซื้อหวย)อย่างแน่นอน...
ติดตามบทความอื่นๆ คลิกที่นี่!!
วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560
วางแผนมีทายาท วางแผนการลงทุน
คำถามยอดฮิตที่ผมและภรรยาต้องตอบตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าๆหลังจากแต่งงาน (เมื่อ 9 ม.ค. 57) คือ "เห็นแต่งกันมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะมีลูก" สารภาพตามตรงว่าเราอยากมีตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆแล้วครับ และส่วนใหญ่ คนที่แต่งงานกัน ก็อยากมีลูกกันทั้งนั้นแหละ
แต่..แหม!! เขียนเรื่องวางแผนเก็บเงิน วางแผนลงทุนมาก็เยอะ จะไม่เขียนเรื่องวางแผนมีทายาทได้ไง เสียชื่อทิดหรรมแหล่หมด 555
สืบเนื่องจากการที่เราเริ่มวางแผนเก็บออมลงทุนมาเป็นเวลา 2 ปีกว่าๆ ด้วยความที่ในช่วงนั้นเงินเก็บผมแทบไม่มีเลย มีแต่หนี้ จะมีก็แต่เงินเก็บของภรรยาเล็กๆน้อยๆ เกิดมีลูกขึ้นมาจะมีปัญญาเลี้ยงลูกมั้ยวะ?? เราก็เริ่มคุยกันว่า เมื่อไหร่ที่เรามีเงินเก็บถึงเป้าที่วางไว้ค่อยมีก็แล้วกัน..
ผ่านมากินเวลากว่า 3 ปี เป้าหมายที่วางไว้ก็สำเร็จ เราเลิกคุมกำเนิดเมื่อ ก.พ.60 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ก็น่าจะมีข่าวดีให้ชื่นใจซะที...
ผลตรวจเมื่อ 24 เม.ย.60 |
>>ติดตามอ่านบทความอื่นๆ คลิกที่นี่!! <<
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560
อัพเดต งบดุลส่วนบุคคลประจำปี
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอายุที่เข้าเลข 3 อย่างรวดเร็วเช่นกัน ช่วงหยุดยาวปีใหม่มัวแต่เพลินไปหน่อย เลยไม่ได้มาอัพเดตเรื่องราวการเงินการลงทุนไว้เตือนสติตัวเอง!! (เขียนไว้ เผื่ิอจะเตือนสติคนที่หลงเข้ามาอ่านได้บ้าง อิอิ)
เมื่อต้นปี 2559 ผมได้บันทึกงบดุลของตัวเอง (รวมกับภรรยาด้วยจ้า แหะๆ) เก็บไว้เป็นข้อมูลพร้อมกับแชร์ให้เพื่อนๆได้ไปปรับใช้กัน ดูบทความเก่าที่ลิงค์นี้เลยเด้อ>> แชร์วิธีการจัดทำงบการเงิน
เพื่อสร้างวินัยที่ดี ผมจึงได้จัดทำงบดุลประจำปี 2560 พร้อมกับเปรียบเทียบงบดุล ปี 2559 มาดูกันว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงยังไงกันบ้างครับ..
ผมขอโชว์ข้อมูลเป็นเปอร์เซ็นต์(%) แทนการใช้จำนวนเงินเป็นบาทนะครับ (เพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคง 555 ^_^) ตารางอาจจะดู งงๆนิดๆนะครับ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ในตารางจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ สินทรัพย์ หนี้สิน และความมั่งคั่งสุทธิ
ดูที่ไฮไลต์สีเขียวเลยละกันครับ ความมั่งคั่งสุทธิ = สินทรัพย์ - หนี้สิน
จากตารางจะเห็นได้ว่าความมั่งคั่งสุทธิของผมเพิ่มขึ้น จาก 20.9% เป็น 39.9% นั่นหมายความว่า ผมสามารถสร้างสินทรัพย์เพิ่มขึ้น และลดหนี้สินลงได้อีก 19% ฉะนั้น หากผมยังสามารถรักษาวินัยโดยการเพิ่มสินทรัพย์ ลดหนี้ ไปเรื่อยๆ ความมั่งคั่งสุทธิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ 100% ในไม่กี่ปีข้างหน้า
เลยอยากเชิญชวนเพื่อนๆให้มาสร้างงบดุลหรืองบแสดงสถานะทางการเงินกันนะครับ เราจะได้ทราบถึงสถานะทางการเงินของเรา เพื่อที่จะสามารถวางแผนการเงิน การลงทุน อย่างเป็นระบบต่อไปครับ ..
>> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)