วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ครบ 1 ปี กับการลงทุนในกองทุนรวม


                  28 ม.ค.58 เป็นวันแรกที่เริ่มลงทุนกับกองทุนรวม..

     หลังจากที่ศึกษาการลงทุนจนมั่นใจแล้วว่าคงถึงเวลาซักที ที่จะเริ่มลงทุน และทำการคัดเลือกกองทุน จนได้กองทุนที่จะลงทุนแล้ว ผมจึงตัดสินใจไปเปิดบัญชีที่ธนาคารกรุงศรีฯ พร้อมเงินลงทุน 5,000 บาท ถึงจะเป็นเงินที่น้อยนิด แต่วินาทีนั้นผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ยิ่งกว่าตอนไปสัมภาษณ์งานครั้งแรกซะอีก..

     กองทุนแรกที่ผมลงทุนก็คือ กองทุน KFSDIV เป็นกองทุนหุ้น ที่มีนโยบายจ่ายปันผล เหตุผลที่เลือกกองนี้ก็เพราะว่า จากสถิติ กองทุนนี้จะจ่ายปันผลทุกไตรมาส ซึ่งมีผลกับจิตวิทยาการลงทุนของผมมาก เนื่องจาก ผมเป็นมือใหม่ เงินลงทุนยังน้อย จะไปคาดหวังผลตอบแทนสูงๆ คงเป็นไปได้ยาก แต่การที่กองทุนจ่ายปันผลให้ผมทุกๆ 3เดือน จะทำให้ผมมีกำลังใจในการใส่เงินลงทุนทุกๆเดือน ไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พอร์ตการลงทุนของผมใหญ่ขึ้น และตลาดหุ้นกลับมาดีขึ้น พอร์ตผมมีกำไร ผมก็อาจจะขายกองทุนออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อไปลงทุนในกองทุนอื่น หรือไปลงทุนในหุ้นรายตัวต่อไป..

     กองทุนที่ 2 ก็คือ กองทุน KFSPLUS เป็นกองทุนตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนประมาณเงินฝากประจำ สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ ซึ่งผมเห็นว่า เหมาะกับภรรยาผมเป็นอย่างยิ่ง ผมพาภรรยาไปถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ก้อนแรก 50,000 บาท เพื่อไปเปิดบัญชีกองทุน ที่ธนาคารกรุงศรีฯ อีกครั้ง หลังจากลงทุนไปก้อนแรก ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ปรากฎว่ามูลค่ากองทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทีละนิดทีละหน่อย จากนั้นภรรยาผมก็เลยโยกเงินจากบัญชีออมทรัพย์มาลงทุนในกองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ..

     กองทุนที่ 3 ก็คือ กองทุน B-LTF เป็นกองทุนหุ้นระยะยาว ที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ช่วงยื่นภาษีของทุกๆปี ภรรยาผมก็จะมาบ่นให้ฟังว่าเสียภาษีเยอะ ไม่มีอะไรไปลดหย่อนภาษีเลย ผมจึงแนะนำกองทุนนี้ให้เค้าฟัง ก่อนที่จะตัดสินใจไปเปิดบัญชีนี้ที่ธนาคารกรุงเทพ และตั้งใจว่าจะลงทุนให้เต็มตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนด...


     อย่างที่ผมเคยเล่าไปว่า "การลงทุนคือแผนการ" เรียบง่าย ต่อเนื่อง ไม่ซับซ้อน อดทนรอคอยได้ ผมตั้งใจว่าจะลงทุนไปเรื่อยๆทุกๆเดือน และศึกษาการลงทุนรูปแบบอื่นๆควบคู่กันไป ที่เห็นในรูป เป็นพอร์ตโฟลิโอของผมและภรรยา ผลตอบแทนการลงทุนในปีแรก -3.93% ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นไทยที่ตกลงมาตลอดทั้งปี แต่เมื่อการลงทุนคือแผนการ เราจะไม่ตกใจกลัวจนขายทิ้ง รอโอกาสที่ตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก >>...ถึงวันนั้นการลงทุนของผมจะเป็นยังไง รอติดตามในบทความต่อๆไป นะครับ...<<

     >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ความคลั่งไคล้ สู่ เป้าหมายที่ชัดเจน


     หลายคนคงเคยคลั่งไคล้ดารา นักแสดง นักกีฬา ติดตามเป็นแฟนคลับ ไปให้กำลังใจทุกที่ หรืออะไรก็ตามแต่..

     ผมก็เป็นคนนึงที่ศึกษาเรื่องการเงินการลงทุนมาซักประมาณ 1 ปีเต็ม เห็นกูรู กูรู้ ทางการเงินมาก็มาก (เห็นในโลกออนไลน์ อิอิ) ทั้งตัวจริง ตัวปลอม แต่สองท่านที่ทำให้ผมเกิดอาการคลั่งไคล้ แทบจะเลียผ่าด๊ากกกส์!! เห็นจะมีอยู่สองท่านคือ พี่เอ (A-Academy) และ โค้ชหนุ่ม (The Money Coach)


พี่เอ A-Academy เจ้าของเว็ปไซด์ www.a-academy.net
โค้ชหนุ่ม The Money Coach เจ้าของเว็ปไซด์ www.moneycoach4thai.com
     ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้ที่เปลี่ยนทัศนคติทางการเงินและการลงทุนของผมและภรรยา อย่างแท้จริง พวกเราติดตามดู Youtube อ่านบทความ ซื้อหนังสือ ฯลฯ ที่เกี่ยวกับทั้งสองท่านนี้แทบจะทุกคลิป ทุกบทความ ทุกตัวอักษรเลยก็ว่าได้

     ทำไมผมและภรรยา ถึงได้คลั่งไคล้ขนาดนี้...ก็เพราะว่าทั้งสองท่านมีจิตสาธารณะ ให้ความรู้โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ให้เพราะอยากแบ่งปันประสบการณ์ ให้เพราะอยากเห็นคนไทยมีความรู้ทางการเงินที่ดี ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่า...

"พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน"

     7-8 พ.ย.58 ผมและภรรยาเดินทางไปสัมมนา "Money Literacy จุดเริ่มต้นสู่อิสรภาพทางการเงิน รุ่นที่ 6" ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อไปพบกับ Idol ของพวกเราทั้งสองท่าน..



     บอกตรงๆว่า จริงๆเนื้อหาในงานสัมมนา ผมและภรรยา เคยฟังมาเกือบจะทั้งหมดแล้วแหละ เพียงแต่ว่าผมต้องการไปซึมซับบรรยากาศ ไปเพิ่มไฟในตัวให้ลุกโชนให้เดินทางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไปสัมผัส และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ Idol ตัวจริงของพวกเรา ไปพบปะกับเพื่อนใหม่ๆที่มีแนวความคิดเดียวกัน..

     จริงๆแล้ว ก่อนไปสัมมนา ผมปรับเป้าหมายจากเดิมที่เคยเขียนไว้ ตั้งแต่ 5 ม.ค.58 ให้ชัดเจนขึ้น ติดใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ ตั้งแต่ 20 ต.ค.58 
     
     ทำไมต้องใส่กระเป๋าสตางค์??....ก็เพราะว่าผมจะได้เห็นมันทุกวัน เตือนสติทุกวัน คิดทุกวัน ว่าเราจะทำยังไงให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ และนี่คือเป้าหมายใหม่ของผมครับ..

ความคลั่งไคล้ สู่ เป้าหมายที่ชัดเจน
     เป้าหมายที่ 1 : มีกระแสเงินสดโดยไม่ต้องทำงาน (Passive Income) 15,000 บาท/เดือน ภายใน 3 ปี                                  (ให้ภรรยาออกจากงานประจำ)

     เป้าหมายที่ 2 : มีกระแสเงินสดโดยไม่ต้องทำงาน (Passive Income) 30,000 บาท/เดือน ภายใน 5 ปี                                  (มีอิสรภาพทางการเงิน ออกจากงานประจำทั้งสองคน)

     เป้าหมายที่ 3 : มีอพาร์ทเม้นต์ให้เช่า 1 หลัง ภายใน 7 ปี (ออกไปให้ความรู้ทางการเงิน)

                                       >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<




วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

การลงทุนคือแผนการ



           จริงๆแล้ว น่าจะใช้คำว่า "การลงทุนคือแผนการ แบบง่ายๆโง่ๆ" น่าจะถูกกว่า..

     เพราะแผนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ของผมไม่มีอะไรมาก คือ ลงทุนเป็นประจำทุกเดือน อย่างน้อย 20% ของเงินเดือน ตามแผนการลงทุนที่พี่เอ A-Academy ได้ทำตาราง Excel ไว้ให้โหลดมาใช้งาน..
Investment Planner by A-Academy

     วันที่ผมได้กรอกตัวเลขตามตาราง Excel ตามรูปนั้น ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะ ไอ้การที่ผมลงทุนแบบง่ายๆโง่ๆนี้ เมื่อถึงตอนที่ผมอายุ 55 ปี ผมสามารถมีเงิน 10ล้านบาทได้ โดยเงื่อนไขคือ 

1. ผมต้องลงทุนรายเดือนอย่างน้อย 20% ของเงินเดือน
2. สมมุติให้รายได้ของผม เพิ่มขึ้น 4% ทุกๆปี
3. ผมต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี (ซึ่งทำให้ผมต้องลงทุนในกองทุนหุ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 10-12% ต่อปี)
4. ปีที่เริ่มต้นคือ เมื่อผมอายุ 28ปี บริบูรณ์
5. ต้องลงทุนในกองทุนรวมหุ้น 100% เท่านั้น

     อย่าว่าแต่ 10ล้านบาทเลยครับ แค่ แสนเดียว ผมก็ดีใจจะตายห่าแล้ว!! เพราะตั้งแต่เรียนจบ ทำงานมาประมาณ 4ปี ก่อนแต่งงาน เงินเก็บซักบาทยังไม่มีเลย แถมแต่ละเดือน เงินยังไม่พอใช้อีกต่างหาก.. 

     ผมคิดว่าการลงทุนมันเป็นจิตวิทยา ก็ในเมื่อเงินลงทุนเริ่มต้นของเรายังไม่มาก เราก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆตามแผนการนี้ไปก่อน โดยใช้สมการการออมง่ายๆแบบนี้ครับ...

รายได้ - เงินออม = รายจ่าย

     วันที่เงินเดือนเข้าบัญชี ผมจะทำการหัก 20% ไปลงทุนในกองทุนรวมทันที ส่วนที่เหลือก็โอนให้เมีย อิอิ บัญชีเงินเดือนของผมก็ว่างเปล่า ไม่มีโอกาสได้จับเงิน 55555 

     ที่ผมได้ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนนึงของพอร์ตการลงทุนของผมนะครับ นี่ยังไม่รวมการลงทุนในส่วนอื่นๆ ซึ่งผมจะยกมาเล่าให้ฟังในโพสต์ต่อๆไป..

         >>ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<