วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แตกต่าง อย่าง สร้างสรรค์


      ผมขอนำบทความบทหนึ่ง ของ หนังสือ The Millionaire FastLane โดย MJ DeMarco ผู้แปลก็คือ โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธ์ุ อาจารย์ทางการเงินของผมนั่นเอง
 
      หลังจากอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นรอบที่ 2 ผมก็มาสะดุดกับหัวข้อเรื่องที่ชื่อ "จงหันหลังให้กับมลพิษลมต้าน" เนื้อหาจะประมาณว่า...
     "คุณต้องหันหลังให้กับผู้คนที่พ่นมลพิษลมต้านใส่คุณ ถ้าคุณไม่ระวังให้ดี ชีวิตจะถอยหลังลงคลองเข้าสู่วงจรซ้ำๆที่เป็นเรื่องปกติของสังคม คือ ตื่นเช้า ไปทำงาน กลับบ้าน กินข้าวเย็นร้านหรู ดูละครหลังข่าว เข้านอน แล้วก็วนซ้ำแบบนี้อีกวันแล้ววันเล่า กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านเลยไป 30 ปี 40 ปีแล้ว ร่างกายก็เริ่มร่วงโรย ได้แต่เฝ้าคำนึงถึงอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้"
                  โดน!! เต็มๆ โดนโคตรๆ โดนเอี้ยๆ
     ผมเริ่มทำอะไรบางอย่างที่ "แตกต่าง" จากคนส่วนใหญ่มาซักประมาณ 2 ปี ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ผมได้หันหลังให้กับมลพิษลมต้านมาได้ประมาณนึงแล้ว ผมเชื่อเสมอว่า สิ่งที่เลือกในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตทางการเงินของผม ผมแน่ใจและมั่นใจว่าเลือกถูก ถึงแม้ว่าผมจะเลือกผิด ผมก็ต้องมีชีวิตอยู่กับผลลัพธ์จากการเลือกนี้แน่นอน..



     ลมต้านส่วนใหญ่ที่ชอบเข้ามาพัดผมจนเซ มักจะมีข้ออ้างหลักๆอยู่ 2 ข้อ คือ ไม่มีเวลา และ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง...
     คนเราขี้เกียจ คนเราชอบให้มีคนเอามาส่งถึงที่ คนเราไม่อยากอ่าน ไม่อยากเชื่อมโยงจุดต่างๆ พวกเขาต้องการให้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยมาให้เลย สุดท้าย ก็ไม่พ้นการพนัน เสี่ยงโชค หรือไปลงทุนในอะไรที่ไม่เข้าท่า

       >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียนรู้ เพื่อ จัดการกับอารมณ์ของตลาดหุ้น


     วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีเข้ามาทุกทีๆ ช่วงนี้เริ่มมีพี่ๆน้องๆ ที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักมากหน้าหลายตาเริ่มโชว์พอร์ตเขียวๆจากตลาดหุ้น กำไรเท่านั้นเท่านี้ออกมาเรื่อยๆ ตลาดทั้งในประเทศ และหลายๆประเทศดูสดใส จนอดใจกันไม่ค่อยจะได้นักที่จะบินเข้ากองไฟ..

ถามว่า : แล้วผมได้เข้าไปซื้อขายหุ้นในช่วงนี้มั้ย??
ตอบแบบหล่อๆเลยว่า : ผมยังไม่มีพอร์ตหุ้นเลยด้วยซ้ำ  (เอ้า!! แล้วมึงจะพูดทำแมวน้ำทำไมวะ 555)

ที่มา http://news.mthai.com/

ต้องกลับไปที่บทความเก่าๆ ของผมที่เคยเขียนไว้ ชื่อเรื่องว่า จุดเริ่มต้นการลงทุน ประเด็นหลักๆ คือ

     "ผมตั้งเป้าหมายการลงทุนแบบง่ายๆโง่ๆไว้ว่า ทุกๆเดือนจะใส่เงินลงทุน (ในกองทุนรวม) เข้าไป อย่างน้อย 20% ของเงินเดือน สะสมไปเรื่อยๆ โดยยังไม่คาดหวังผลตอบแทนอะไรมาก ระหว่างนี้ก็ศึกษาการลงทุนรูปแบบอื่นๆควบคู่กันไปด้วย ทั้งเรื่องของการทำธุรกิจ ลงทุนหุ้นรายตัว ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ขายของออนไลน์ เขียนบทความออนไลน์ ฯลฯ.."

     ทุกๆเดือน ผมก็ทำตามเป้าหมายที่ผมเคยเขียนไว้ตั้งแต่ ม.ค.58 แถมยังได้มากกว่าแผนด้วยซ้ำ เพราะ ผมใส่เงินลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ ไปประมาณ 30-35% ของเงินเดือนทุกๆเดือน และยังศึกษา อ่านหนังสือ ฟังสัมมนา เรื่องการลงทุนรูปแบบต่างๆอย่างสม่ำเสมอ สองสิ่งนั้นก็คือ "การทำธุรกิจ"และ "หุ้นรายตัว" ที่ผมเน้นเป็นพิเศษว่านี่แหละ จะเป็นสินทรัพย์การลงทุนเปลี่ยนชีวิตของผมได้

     คำถามต่อมา แล้วทำไมยังไม่ลงทุนในธุรกิจ และหุ้นรายตัวอีกล่ะ?? (ถามเองตอบเอง)
ตอบแบบหล่อๆอีกนั่นแหละ : 
     1.ธุรกิจ ในความหมายของผม คือ ารเป็นเจ้าของกิจการ >> เจ้าของกิจการต้องสามารถควบคุมกิจการ ซึ่งไม่ว่าเราจะอยู่หรือไม่อยู่ดูแลกิจการ เงินก็จะไหลเข้ากระเป๋าเราตลอดเวลา แตกต่างจากการทำธุรกิจส่วนตัว ที่เราต้องเอาเวลาไปแลกกับเงิน (ซึ่งผมก็กำลังทำควบคู่ไปกับงานประจำ) ที่เราไม่มีอำนาจควบคุม ต้องใช้ทั้งพลังแรงกายและแรงใจ เพราะถ้าหยุด ท้อแท้ ขี้เกียจเมื่อไหร่ ก็ไม่สามารถทำเงินได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทำธุรกิจส่วนตัวจะร่ำรวยไม่ได้นะครับ เขียนดักไว้ก่อน เดี๋ยวผมหลบตรีนไม่ทัน 555
    
     2.หุ้น ผมเลือกแนวทางการลงทุนที่ชัดเจนไว้แล้วว่า ผมจะเป็นนักลงทุนระยะยาว จะเรียกว่า สไตล์นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ก็ยังมิอาจเอื้อม เพราะผมยังห่างไกลจากพี่ๆและอาจารย์สาย VI ทั้งหลายนัก ผมจะพยายามสะสมเงินลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบอยากรวยเร็ว แล้วเอาเงินเล็กๆน้อยๆไปเก็งกำไร ซื้อๆขายๆ เพราะ ผมคิดว่า ผมยังไม่มีความสามารถมากถึงขนาดที่จะเปลี่ยนเงินหลักหมื่นหลักแสน เป็นเงินหลักสิบล้านร้อยล้านในระยะเวลาสั้นๆ


     >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

LTF & RMF ขุมทรัพย์สำหรับผู้เสียภาษี

 
     ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่(ที่รู้จักมักคุ้นกันกับผม) ไม่เคยรู้จัก กองทุนฝาแฝด ที่ ชื่อว่า LTF และ RMF หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยิน แต่ไม่คิดที่จะใช้ประโยชน์จากมันเท่าไหร่หรอก ฉะนั้นบทความนี้ผมจะเขียนเก็บไว้เผื่อว่าวันนึงจะมีซักคนที่เอามันไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามสิทธิ์ที่เราควรได้รับ แล้วไอ้เจ้า LTF&RMF มันคืออะไร มาเริ่มทำความรู้จักกันเลยครับ...

LTF คืออะไร ?
     LTF ย่อมาจาก Long Term Equity Fund เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด 

       ผลตอบแทนนักลงทุนจะได้รับ คือ
1.เงินลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ (กำไรแน่ๆ ส่วนคำอธิบายพร้อมภาพประกอบด้านล่าง)
2.กำไรจากมูลค่าส่วนต่าง (เช่น ซื้อหน่วยลงทุน 10 บาท/หน่วย เมื่อครบ 7ปีปฏิทิน ขายที่ 15 บาท/หน่วย กำไร 50%)
3.กำไรจากเงินปันผล (กรณีเลือกกองที่มีนโยบายจ่ายปันผล)

           เงื่อนไขของ LTF
1.ลงทุนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ที่ต้องนำมาคำนวณภาษี
2.ซื้อปีไหน ใช้ลดหย่อนภาษีปีนั้น ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่อง
3.ต้องถือลงทุนอย่างน้อย 7 ปี นับปีปฏิทิน (สามารถถือนานกว่านั้นได้)

RMF คืออะไร ?
     RMF ย่อมาจาก Retirement Mutual Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุประเภทหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ที่ทางการให้การสนับสนุน สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจ

          เงื่อนไขของ RMF
1.ลงทุนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ที่ต้องนำมาคำนวณภาษี เมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข. และเบี้ยประกันแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
2.ต้องลงทุนต่อเนื่อง โดยขั้นต่ำ 3%ของรายได้ หรือ 5,000 บาท และสามารถเว้นการลงทุนได้ปีเว้นปี
3.สามารถขายได้เมื่ออายุครบ 55ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี

พอรู้จัก LTF&RMF กันพอสมควรแล้วนะครับ ทีนี้มาถึงการคำนวณฐานภาษีเพื่อที่จะรู้ว่าเราจะต้องซื้อกองทุนกันเท่าไหร่ดี และวิธีคัดเลือกกองทุน ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่าง การคัดเลือก LTF นะครับ...

คำนวณการซื้อ LTF&RMF (ที่มา : http://www.kasikornasset.com/Pages/CalTax.html )

ขั้นตอนที่ 1 : กรอกรายได้ 
ผมสมมุติให้ นายแหล่ มีเงินเดือน 35,000 บาท โบนัส ดอกเบี้ย เงินปันผล รายได้อื่นๆ ไม่มี

ขั้นตอนที่ 2 : กรอกรายการลดหย่อนและบริจาค 
มีค่าใช้จ่ายในการลดหย่อน เป็น ค่าเบี้ยประกันชีวิต 10,000 บาท และ ค่าดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน 10,000 บาท
ขั้นตอนที่ 3 : สรุปผล 


   =>> กรณีนี้ นายแหล่ ลงทุน LTF ไป 40,000 บาท และ RMF ไป 40,000 บาท ฉะนั้น ภาษีที่ประหยัดได้ 4,000 บาท (ได้แน่ๆยังจะไม่เอาอีกหรือ??)  คลิก คำนวณภาษีได้ ที่นี่เลยจ้า!!

วิธีการคัดเลือก LTF

ที่มา : www.siamchart.com
     ผมใช้วิธีคัดกรองโดยดูผลตอบแทนย้อนหลัง จาก เลือกกองทุน LTF คลิกที่นี่!!  (ไม่เฉพาะ LTF นะครับ กองทุนประเภทอื่นก็มีเหมือนกัน) ในที่นี้จะมีทั้งสิ้น 10 กองทุนที่มีผลตอบแทนย้อนหลังดีที่สุด

....เริ่มเห็นภาพมากขึ้นยังครับ??  (เห็น เ-ี้ย อะไรล่ะ กูยิ่งงงกว่าเดิม 555)....
     
    ไม่ใช่ว่าเราจะดูแค่ผลตอบแทนย้อนหลังของกองที่ดีที่สุดแล้วซื้อเลย ยังมีองค์ประกอบที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น ความสะดวกในการซื้อกองทุนนั้นๆ ค่าธรรมเนียม ขนาดกองทุน สไตล์การลงทุน การกระจายการลงทุน นโยบายเงินปันผล ฯลฯ  
     ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ท่านสามารถดาวน์โหลด จาก www.wealthmagik.com แล้วนำ Fund Factsheet ของแต่ละกองทุนมาเปรียบเทียบตามตัวอย่างข้างบน หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุกท่านแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกกองทุนไหนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการความมั่งคั่งของเรา สำหรับผมคงชี้เป้าให้ทุกท่านไม่ได้ เดี๋ยวเกิดผลตอบแทนไม่เป็นไปตามคาดขึ้นมาผมคงเป็นหมาหัวเน่าแน่ๆ 555555

"ขอความมั่งคั่ง จงสถิตย์แก่ทุกท่านที่มุ่งมั่นครับ"

                                                                                              
       >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ..สวัสดิการชั้นยอดของมนุษย์เงินเดือน..

 
     เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ผมได้ยินผู้บังคับบัญชาพูดคุยให้ฟังเรื่อง การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คือ ม.ราชภัฏชัยภูมิ ที่ผมทำงานในปัจจุบัน นั่นเอง

     สาระสำคัญคือ ทางผู้บริหารเริ่มเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา คล้ายๆว่า เป็นการเช็คเสียงส่วนใหญ่ (คล้ายๆการลงประชามติที่คุ้นเคย อิอิ) ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจริงเท็จประการใด

     แต่สำหรับบุคลากรตัวน้อยๆอย่างเราหรือสำหรับลูกจ้างหน่วยงานอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนฯ ก็คงต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า ไอ้เจ้า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หน้าตามันเป็นยังไง??...

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)

     กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น โดยเงินของกองทุนมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายส่วนหนึ่งเรียกว่า "เงินสะสม“ และนายจ้างจ่ายเงินเข้าอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า "เงินสมทบ” กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นลักษณะของสวัสดิการที่นายจ้างมีให้กับลูกจ้างเพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินให้แก่ลูกจ้างที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐผ่านกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ความสำคัญของ การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากจะทำให้ลูกจ้างมีการออมอย่างต่อเนื่อง มีวินัย และมีนายจ้างช่วยออมแล้วยังมีการนำเงินไปบริหารให้เกิดดอกผลงอกเงยโดยผู้บริหารมืออาชีพ และดอกผลที่เกิดขึ้นจะนำมาเฉลี่ยให้กับสมาชิกกองทุนทุกคนตามสัดส่วนของเงินที่แต่ละคนมีอยู่ในกองทุน 


ที่มา www.mfcfund.com
สวัสดิการชั้นยอด 3 ข้อหลักๆ ดังนี้
   
     1. เราสะสมเท่าไหร่ นายจ้างสมทบเท่านั้น หรือ มากกว่า เช่น เดือนที่ 1 ; 1,000+1,000 = 2,000 บาท เรากำไรแน่ๆ 100%
   
      2. ผลประโยชน์ทางภาษี
2.1) จากเงินสะสม เช่น ปี 2560 เราสะสมได้ 20,000 บาท สามารถนำไปยื่นลดหย่อนภาษีได้
2.2) กำไรจากผลการดำเนินงาน ไม่ต้องเสียภาษี
2.3) เมื่อเกษียณอายุ ลาออกจากกองทุนฯ สมมุติได้เงิน 2ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี
   
      3.เป็นการบังคับให้เราออม/ลงทุน อย่างต่อเนื่อง สมมุติให้เราออมเองทุกๆเดือน ฟังเหมือนง่าย แต่มีซกกี่คนที่ทำได้ แค่เงินจะแ...ก แต่ละเดือนยังไม่พอเล้ยยยย จริงมั้ยครับ??

นโยบายการลงทุน
     จะขึ้นอยู่กับ คณะกรรมการกองทุนฯ แต่งตั้งมาจาก ฝ่ายนายจ้าง+ฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งจะเป็นผู้คัดเลือกบริษัทจัดการกองทุนฯ และ เป็นผู้กำหนดนโยบายการลงทุน ซึ่งแบ่งได้ 2 ข้อหลักๆ ดังนี้

     1. ทุกคนลงทุนนโยบายเดียวกัน (ผมขอเรียกมันว่า นโยบายหัวโบราณ) => คือ ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์เลือกสัดส่วนการลงทุนใดๆ ซึ่งส่วนมากนโยบายพวกนี้ อัตราผลตอบแทนจะต่ำ ความเสี่ยงต่ำ แพ้เงินเฟ้อ

     2. Employee's Choice => ลูกจ้างมีทางเลือกเป็นของตัวเอง
2.1) Menu Plan เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้ไม่มากนัก
2.2) Free Hand ยืดหยุ่นได้มาก เลือกได้อิสระ เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้ ความเข้าใจด้านการลงทุนเป็นอย่างดี

ผลตอบแทนการลงทุน
     จะขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนที่เราเลือก โดยผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นเพียงการคาดการณ์ในเบื้องต้นเท่าน้ั้น โดยการกรอกตัวเลขลงใน excel ให้ดูผลตอบแทนในลักษณะต่างๆ 3 ลักษณะ ดังนี้

แบบที่ 1 รับความเสี่ยงได้ต่ำ (ลงทุนในตราสารหนี้ 100%) เงื่อนไขคือ เริ่มลงทุน อายุ 25 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 บาท เงินเดือนขึ้น 5%ต่อปี เงินสะสม 5% เงินสมทบ 5%  คาดหวังผลตอบแทน 3% ต่อปี เมื่อเกษียณ จะมีเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,880,000 บาท
ที่มา www.a-academy.net

แบบที่ 2 รับความเสี่ยงได้ปานกลาง (ตราสารหนี้ 50% หุ้น 50%) เงื่อนไขคือ เริ่มลงทุน อายุ 25 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 บาท เงินเดือนขึ้น 5%ต่อปี เงินสะสม 5% เงินสมทบ 5%  คาดหวังผลตอบแทน 6% ต่อปี เมื่อเกษียณ จะมีเงินทั้งสิ้นประมาณ 3,000,000 บาท
ที่มา www.a-academy.net

แบบที่ 3 รับความเสี่ยงได้สูง (หุ้น 90%-100%) เงื่อนไขคือ เริ่มลงทุน อายุ 25 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 บาท เงินเดือนขึ้น 5%ต่อปี เงินสะสม 5% เงินสมทบ 5%  คาดหวังผลตอบแทน 10% ต่อปี เมื่อเกษียณ จะมีเงินทั้งสิ้นประมาณ 6,500,000 บาท
ที่มา www.a-academy.net
      >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ความรัก กับ การลงทุน


     "อิจฉาเจ้าแท้ ได้หยุดยาวตั้ง 5 วัน (120ชั่วโมง)  ข่อยได้หยุดแค่ 32 ชั่วโมง เอง" คำตัดพ้อของภรรยาแสนสวยของผม ระหว่างขับรถกลับจากทริปหยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว 1คืน 1วัน ศิริเวลารวม 12 ชั่วโมง แต่มันช่างเป็น 12 ชั่วโมงที่คุ้มค่า มีความสุขจริงๆ..

ทุ่งดอกกระเจียว@ชัยภูมิ 18/07/59
      เอ้า!! เข้าเรื่องกัน แล้วไอ้คำว่า "ความรัก กับ การลงทุน" มันเกี่ยวข้องอะไรกันวะ??  คำตอบคือ ที่จริงมันไม่เกี่ยว เ-ี้ย อะไรหรอก แต่ผมจะทำให้มันเกี่ยว 555
     
      ด้วยประโยคตัดพ้อจากภรรยาผม พร้อมกับน้ำตาคลอนิดๆ กับคำพูดเสริมที่ว่า "เมื่อไหร่เราจะรวย ข่อยอยากลาออกไปอยู่บ้านแล้ว" อันที่จริงประโยคนี้ผมจะได้ยินบ่อยๆในเวลาที่ภรรยาผมรู้สึกท้อแท้ เหนื่อย หมดกำลังใจ ถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน ผมก็ได้แต่ปลอบใจเค้าเป็นครั้งๆไป โดยยังไม่มีเป้าหมายอะไรเลย จนมาถึงทุกวันนี้ เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นรูปเป็นร่าง เพียงแต่ต้องใช้เวลาซักระยะ ผมเลยตอบเค้ากลับไปว่า "ข่อยกะบ่ได้หยุดคือเจ้านั่นล่ะ ช่วงหยุดข่อยกะลงทุน แต่เป็นการลงทุนในความรู้ คืออ่านหนังสือ พัฒนาตนเอง พัฒนาทักษะการลงทุน การใช้ชีวิต เจ้าอย่าน้อยใจไปเลย ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป ซักวัน วันที่เราตั้งเป้าหมายไว้มันต้องมาถึงแน่ๆ..."


      ก่อนวันหยุดยาว 1สัปดาห์ ผมเดินเข้าไปที่ SE-ED กะว่าไปหาหนังสือไว้อ่านช่วงวันหยุดซักเล่ม แต่ไม่คิดว่าจะไปเจอหนังสือเล่มนี้ เพราะ เคยไปถามกับพนักงานอีกสาขานึงแล้ว กะจะให้เค้าสั่งซื้อเล่มนี้ให้ แต่พนักงานก็บอกว่า เล่มนี้เลิกผลิตไปนานแล้ว ทันทีที่กรอกตามองบน เจอเล่มนี้เข้า ไม่ลังเลเลยครับ หยิบไปจ่ายเงินทันที เพราะอะไรมึงถึงตื่นเต้นขนาดนั้นวะ??  
     
      ก็เพราะจากที่ผมศึกษาการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจากหลายๆท่าน ทุกท่านแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ถ้าคุณอยากเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด และก็ไม่ผิดหวังครับ หลังจากที่อ่านไปได้ 500กว่าหน้า ผมรู้เลยว่า เล่มนี้แม่งใช่เลยว่ะ โคตรเป็นบุญเลยที่หามาครอบครองจนได้ (จากทั้งหมด 800หน้า หนังสือบ้าอะไรหนาชิบหาย!! ใครจะไปอ่านไหว แต่บ่ใช่ปัญหา สำบายมาก ยิ่งอ่านยิ่งสนุก) 

      สุดท้าย ผมอยากให้กำลังใจทุกคนที่รู้สึกท้อ หมดหวัง หมดกำลังใจ มืดมนหนทาง ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ สำหรับคนที่มีครอบครัว ต้องมอบความรัก ให้กำลังใจกัน ทำทุกวันให้มีความสุข ตั้งเป้าหมายร่วมกัน แล้วทำทุกวิถีทางเพื่อเดินทางไปสู่เป้าหมายให้ได้ ผมกับภรรยาก็เป็นคนธรรมดาคนนึง ที่ฝันใหญ่ และพยายามเดินตามฝัน แม้จะยังไม่เข้าใกล้ความสำเร็จ แม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรคมากมาย แต่ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรจะมาขัดขวางเป้าหมายของเราได้ สู้ๆๆ!!!

     >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แชร์วิธีการทำงบการเงินส่วนบุคคล


     ปัญหาใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆท่านๆ รวมทั้งผม(ในอดีต) พบเจอ คือ เงินเดือนไม่พอใช้ หมุนเงินไม่ทัน ใช้จ่ายเกินตัว พอเงินไม่พอใช้ ก็ต้องหยิบยืม กู้บ้าง ทั้งในระบบ นอกระบบ ปัญหามันเกิดจากการไม่ควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่มีการวางแผน ไม่รู้ว่าสถานะทางการเงินของเราอยู่ ณ จุดไหน ฉะนั้น ใครที่มีปัญหาในเรื่องนี้ ตามผมมาครับ...เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง จะทำตามหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่นะครับ...

     เหตุเกิดจาก สมัยผมเริ่มทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนใหม่ๆ ด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของวิศวกรโรงงานโสดๆคนนึง ที่เฝ้ารอแต่เงินเดือนตอนสิ้นเดือน ใช้จ่ายแบบไม่คิดอะไร ภาระไม่มี หนี้สินก็ยังไม่มี เป้าหมายห่าเหวอะไรก็ยังไม่มี พอเริ่มทำงานมาซักพัก ก็เหมือนคนทั่วไป เริ่มมีรถยนต์ ภาระหนี้สินเริ่มมา และก็เป็นหนี้ที่หนักซะด้วย สุดท้ายก็เข้าคอนเซ็ป "เงินเดือนอยู่กับเราถึงวันที่5 แต่มาม่าอยู่กับเราทั้งเดือน" ซักพักก็อยากมีเมีย ทีนี้ล่ะครับ ถึงเริ่มจะคิดได้นิดๆ

     ข้ามไปตอนที่หลังจากแต่งงานใหม่ๆ ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเยือน ด้วยความที่เงินเดือนผมก็น้อยนิดอยู่แล้ว ไหนจะมีหนี้สินติดตัวมาอีก ส่วนภรรยาผม เงินเดือนมากกว่าผมพอสมควร หนี้สินก็ไม่มี ใช้จ่ายก็ประหยัด มีเงินเก็บ เลี้ยงดูครอบครัวเป็นอย่างดี พอเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันตามประสาข้าวใหม่ปลามัน ก็ใช้เงินกันแบบไม่คิดชีวิต ไม่คิดถึงอนาคต เงินมีเท่าไหร่ใช้แม่มหมด พอหมด ก็เริ่มรบกวนเงินเก็บเมีย หนักเข้าก็เริ่มทะเลาะกันเรื่องเงิน นั่นล่ะครับ ทำให้ผมกลับมานั่งคิดถึงเรื่องการวางแผนการเงิน...

เล่าถึงงบการเงินส่วนบุคคล ผมศึกษาจาก youtube ของ พี่เอ a-academy ชื่อซีรี่ย์ "งบการเงินส่วนบุคคล (Personal Financial Statement)
เนื้อหาตามลิงค์นี้เลยครับ  https://www.youtube.com/watch v=O2a7dQ1FNEg&list=PLzNZumObc8XveFYaKWz8c2UyZOP4gQVt3 ขออนุญาติพี่เออีกครั้งนะครับ

สรุปเนื้อหา งบการเงินส่วนบุคคล แบ่งเป็น 3 งบ หลักๆ ได้ดังนี้..

1. งบรายรับ-รายจ่าย  =>> ผมใช้วิธีจดบันทึกรายรับรายจ่ายลงในกระดาษทุกๆวัน พอครบเดือน ก็จะนำมากรอกลงในตาราง excel เพียงแค่นี้ก็จะเห็นการใช้จ่ายของเราแล้วว่าสยองขนาดไหน 555



2. งบกระแสเงินสด =>> ใช้สำหรับวางแผนการใช้จ่ายรายเดือน อย่างน้อยล่วงหน้า 1 ปี สามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา ตามการใช้จ่ายจริงจากการทำงบรายรับ-รายจ่าย ของเดือนก่อน เพื่อใช้วางแผนในเดือนต่อๆไป


3. งบดุล =>> หรือ งบแสดงสถานะทางการเงิน งบนี้จะแสดงทรัพย์สิน หนี้สิน ของเรา ว่าเราสมควรที่จะก่อหนี้เพิ่ม หรือควรสะสมทรัพย์สินเพิ่ม ครั้งแรกที่ผมทำงบนี้ เมื่อต้นปีที่แล้ว ผมถึงกับอุทานดังๆในใจว่า "ชิบหายแล้วกู หนี้กูแม่งเยอะกว่าทรัพย์สินกูขนาดนี้เลยหรอวะ" เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยวินัยที่ดีขึ้น งบดุลของเราก็เริ่มดูดีขึ้น มีกำลังใจในการสร้างทรัพย์สินมากขึ้น แม้จะยังน้อยนิด แต่เราก็ภูมิใจที่ได้ลงมือทำ เพื่อเป้าหมายเดิมคือ อิสรภาพทางการเงิน & อิสรภาพทางการใช้ชีวิต


>> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ชนะอย่าง"เต่า"

     เชื่อว่าหลายคน หรืออาจจะทุกคน คงเคยได้อ่าน ได้ฟัง นิทานสุดคลาสสิคเรื่อง "กระต่ายกับเต่า"มาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉะนั้น ผมคงไม่ต้องเล่าซ้ำให้เสียเวลา แต่ผมจะเอามาเล่าเปรียบเทียบกับสไตล์การลงทุนของผมก็แล้วกันนะครับ..

     ผมไปอ่านเจอบทความนึงของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์ ปรมจารย์ด้านการลงทุนหุ้น แนวเน้นคุณค่าแล้วไปสะดุดคำๆนึงที่ผมชอบมากๆที่ว่า ชนะอย่าง"เต่า"  มันเปรียบเหมือนกับการลงทุนที่ไม่เร่งร้อน น่าเบื่อ ไปเรื่อยๆ ค่อยๆสะสมเงินทยอยลงทุนอย่างมีวินัย ศึกษาหาความรู้เพื่อต่อยอด อดทนรอคอยได้ หรือเรียกเท่ๆ ว่า "ทนรวยได้"นั่นเอง

     ซึ่งทุกวันนี้ผมสังเกตุเห็นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่ผมรู้จักมักคุ้นหลายๆท่าน เริ่มสนใจที่จะลงทุนตราสารทางการเงิน ทั้งที่เป็นหุ้นรายตัว กองทุนหุ้น ฯลฯ พยายามเป็น "กระต่าย" ในนิทาน มีคำถามเข้ามาหาผมมากมาย เช่น => มีเงินเท่านั้นเท่านี้ ลงทุนอะไรดี ซื้อตัวไหน กองไหนดีวะ??  หรือ => มึงบอกมาเลยซื้อกองไหน กูขี้เกียจอ่าน?? หรือ => ตอนนี้มึงได้กำไรเยอะยังวะ พอร์ตมึงไปถึงไหนแล้ว?? หรือ=> เห็นมึงโพสต์ลงทุนนู่นนี่นั่น เพื่ออิสรภาพทางการเงิน มึงทำได้ยังวะ?? หรือบางคนบางกลุ่ม ก็พยายามเล่นหุ้นเก็งกำไรตามข่าว เชียร์หุ้นกันในไลน์กลุ่ม กำไรบ้าง ขาดทุนบ้างนิดหน่อย เหมือนตลาดหุ้นเป็นบ่อนพนัน..

      บางครั้งบางทีผมก็มีหวั่นไหวบ้าง โกรธบ้าง เกิดความโลภขึ้นมาบ้าง แต่เพราะผมยังไม่เก่ง ยังไม่มีเงินลงทุนมากมาย ฉะนั้นแล้ว ผมก็คงต้องเป็น"เต่า"ต่อไปเรื่อยๆ ให้การลงทุน เป็นการลงทุนเพื่อชีวิต และเปลี่ยนชีวิต เชื่อว่าซักวันนึง ผมจะกลายเป็นคนที่ ชนะอย่าง"เต่า"ได้ในที่สุด..

หนังสือดีๆของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวากรณ์
      >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

แชร์วิธีการคัดเลือกกองทุนความเสี่ยงต่ำ


     มีคำกล่าวนึงของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้เขียนหนังสือชุดพ่อรวยสอนลูกที่ว่า "ผู้ออม คือ ผู้แพ้" อธิบายขยายความได้ว่า...การออมเงินเป็นสิ่งที่ดี แต่การที่เราเก็บออมเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์เพียงอย่างเดียว ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยอาจจะแพ้เงินเฟ้อได้

     ปัจจุบัน ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อยู่ที่ประมาณ 0.5-0.75 % ต่อปี แต่เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 3-3.5% ต่อปี ยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็นภาพของภาวะเงินเฟ้อ ดังนี้ เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เรากินก๋วยเดี๋ยวชามละ 30 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาก๋วยเตี๋ยวขึ้นไปที่ 35-40 บาท นี่เป็นผลของภาวะเงินเฟ้อแบบง่ายๆ ฉะนั้น การฝากเงินเพียงอย่างเดียว เงินของเราก็จะด้อยค่าลงเรื่อยๆ คือ มีเงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลง..

แล้วเราจะทำยังไง??

     ผมขอแชร์วิธีของผมก็แล้วกันครับ...แน่นอนว่าผมมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ในบัญชีออมทรัพย์อยู่แล้ว เพื่อเป็นสภาพคล่อง แต่เป็นจำนวนที่ให้พอใช้จ่ายได้ประมาณ 3 เดือน แล้วส่วนที่เหลือก็จะนำไปลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ โดยใช้กองทุนรวมประเภทต่างๆ ดังนี้
ที่มา www.a-academy.net
     จากภาพ เป็นการอธิบายประเภทกองทุนและวัตถุประสงค์การลงทุน ซึ่งส่วนที่ผมจะอธิบายในบทความนี้ก็คือ กองทุนตราสารหนี้ ซึ่งวัตถุประสงค์คือ เน้นสำรองสภาพคล่องควบคู่กับรายได้ประจำ 

     มาถึงวิธีการเลือกกองทุนกันบ้างครับ ผมเริ่มจากการคัดกรองเบื้องต้นจากผลตอบแทนย้อนหลัง เข้าไปที่ >> www.siamchart.com  เลือก >> Fund >> Fund Compare แล้วจะเห็นช่องมุมขวามือให้เลือกประเภทกองทุน เลือก >>Thai Fixed Income Fund  จะเจอหน้าตาประมาณนี้ครับ..

ที่มา www.siamchart.com

     ทีนี้ผมก็จะกรองดูผลตอบแทน กองไหนที่ยังติดอันดับต้นๆอยู่ในแต่ละช่วงเวลา ก็จะคัดเข้ามา ในที่นี้จะกรองมา 5 อันดับ ที่ผลตอบแทนดีที่สุด แล้วนำมาทำตารางเปรียบเทียบใน excel โดยมีรายละเอียดตามภาพด้านล่าง...

     ซึ่งข้อมูลที่นำมากรอก หาได้จาก Fund Fact Sheet ของแต่ละกองทุน หรือดาวน์โหลดได้ที่ www.wealthmagik.com เมื่อกรอกข้อมูลครบ ก็จะเห็นข้อเปรียบเทียบ ทั้งผลตอบแทน ขนาดกองทุน ค่าธรรมเนียม สัดส่วนการลงทุน ฯลฯ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนแล้วล่ะครับว่าจะเลือกกองไหน  ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย..

        >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

วินัยการลงทุน

   
     เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีเพื่อนท่านนึงไลน์มาถามผมเรื่องการลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งต้องขออนุญาติเพื่อนด้วยนะครับที่ผมเอามาแชร์ เพื่อเป็นความรู้ให้กับท่านอื่นๆ ซึ่งแนวทางของผมอาจจะผิดหรือถูก ก็ไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละท่านก็แล้วกันนะครับ..

   
     ประเด็นคือ เพื่อนท่านนี้ถามถึงการเข้าซื้อกองทุน ว่าผมซื้อที่ราคากี่บาทต่อหน่วย??? ผมขออธิบายขยายความตามภาพประกอบนะครับ
 
     กองทุนนี้เป็น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง และนำมาจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาคือ สามารถจ่ายปันผลได้ทุกไตรมาส มากน้อยขึ้นอยู่กับผลประกอบการ
   
     ชัดเจนว่า นโยบายของกองทุนนี้คือเน้นจ่ายปันผล นักลงทุนจะได้กระแสเงินสดจากการปันผล ซึ่งผิดกับแนวทางของเพื่อนผมคือ เน้นจับจังหวะการลงทุน พยายามซื้อๆขายๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่านัก เหตุผลเพราะ การซื้อๆขายๆกองทุนนั้น มีค่าธรรมเนียมพอสมควร และการที่เงินลงทุนยังน้อย และหวังกำไรส่วนต่างเพียงแค่ 2-3% คงยังไม่เห็นน้ำเห็นเนื้อซักเท่าไหร่ อีกอย่างคือ คุณจะกะเก็งตลาดแบบนี้ได้ซักกี่ครั้ง เนื่องจากว่า ช่วงที่คุยกันนั้น ดัชนีตลาด หรือ SET INDEX ปรับตัวจากเมื่อต้นปีที่ประมาณ 1,250 ขึ้นมาที่ 1,400 จุด แน่นอนว่าใครที่ซื้อเมื่อต้นปี แล้วมาขายช่วงเดือนมีนาคม คงได้กำไรกันทุกคน
 
    แล้วผมทำยังไง??  อย่างที่เคยเล่าไว้ในบทความก่อนๆ ผมพยายามสร้าง "วินัยการลงทุน" ด้วยการลงทุนทุกๆเดือน ดัชนีจะขึ้นหรือลงผมจะไม่สนใจ พยายามเก็บหน่วยลงทุนไปเรื่อยๆ เมื่อถึงวันนึงที่พอร์ตผมเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เงินปันผลสามารถสร้างกระแสเงินสดที่พอจะนำมาใช้จ่ายรายเดือนได้เพียงพอ ถึงตอนนั้นเดี๋ยวมาว่ากันต่อครับ

   ปล.กองทุนที่นำมายกตัวอย่างเป็นเพียงส่วนนึงของพอร์ตการลงทุนผมนะครับ ซึ่งยังมีกองอื่นๆอีก กลยุทธ์ของแต่ละกองก็จะแตกต่างกันไป...

           >>ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<







วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ลูกจ้าง & ธุรกิจส่วนตัว



     เข้าสู่ปีที่3 ที่ผมและทีมงานช่าง เริ่มหารายได้เสริมจากงานประจำ ช่วงวันหยุด และหลังเลิกงาน ด้วยการรับเหมาติดตั้ง ซ่อม ล้างแอร์ และติดตั้งระบบไฟฟ้า จำได้ว่า ช่วงแรกๆที่เริ่มรับงาน ส่วนมากเป็นงานล้างแอร์ตามบ้านเจ้าหน้าที่ภายในมหาวิทยาลัย เรายังไม่มีอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่เป็นของเราเลย ทำงานแบบลูกทุ่งมาก ใช้เพียงแค่ สายยาง 1เส้น โบเวอร์เป่าลม 1ตัว กับไขควง และเครื่องมือช่างเล็กๆน้อยๆ ขนาดผ้าใบที่ใช้ล้างแอร์ยังไม่มี เราใช้แค่ป้ายไวนิลเก่าๆ เย็บพอให้ดูดีไม่น่าเกลียดเท่านั้น บันไดก็ยังต้องยืม เรียกได้ว่าแค่มีคนจ้างก็บุญหัวเท่าไหร่แล้ว..


     หลังจากเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เงินที่หามาได้ด้วยการล้างแอร์ครั้งละ 300-400 บาท เราก็ใช้วิธีเก็บเงินบางส่วน ซื้อเครื่องมือทีละชิ้นๆ เริ่มจาก ผ้าใบ มาเป็นบันได เครื่องฉีดน้ำ อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น "บางเดือน(ช่วงหน้าร้อน) เราสามารถสร้างรายได้พอๆกับเงินเดือนจากงานประจำซะด้วยซ้ำ" เราเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น เรียกใช้บริการมากขึ้น จากปากต่อปาก และจากสื่อ Social พัฒนาจากแค่ล้างแอร์ เริ่มมาเป็นการซ่อม ย้าย ติดตั้ง ฯลฯ  มีหลายคนแนะนำให้เปิดหน้าร้าน แถวมหาวิทยาลัย เพราะแถวนี้ยังไม่มีร้านแอร์เลย ยอมรับว่าใจนึงผมก็อยากเปิดร้านมากๆ ถึงขั้นอยากลาออกจากงานประจำซะเลย แต่ถ้าวันนั้นผมไม่ได้อ่านหนังสือเรื่อง "เงินสี่ด้าน ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ"      ผมคงตัดสินใจแบบวัยรุ่นใจร้อนไปแล้วก็ได้..

ที่มา : www.google.com และ จากหนังสือเรื่อง "เงินสี่ด้าน"
     จากภาพและคำอธิบายก็คงชัดเจนครับ ถึงแม้ว่าผมจะลาออกจากงานประจำ(ด้านE) เพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว(ด้านS) หรือจะทำควบคู่กันไปอย่างเช่นทุกวันนี้ ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันมาก ก็ยังต้องเหนื่อยไปทั้งชีวิต เพื่อทำงานแลกเงินอยู่ดี เลยหยุดความคิดที่จะออกมาลงทุนเปิดร้านไว้ก่อน......แล้วจะทำยังไงดี?? นี่คือคำถามที่ผมนั่งทบทวนถามตัวเองอยู่ตลอดเวลา...

     ถ้าเคยอ่านบทความเก่าๆที่ผมเคยเขียนเอาไว้ ผมเริ่มเข้ามาเป็นนักลงทุน(ด้านI) มาได้ซักประมาณ 1ปี โดยการหารายได้จากด้านE และด้านS เพื่อนำเงินมาลงทุนในด้านI พร้อมทั้งศึกษา อ่านหนังสือ ตำรา บทความต่างๆ เพื่อที่จะก้าวข้ามมาเป็นเจ้าของกิจการ(ด้านB) และนักลงทุน(ด้านI) เต็มรูปแบบ ไม่แน่นะครับ ด้วยแนวคิดง่ายๆแบบนี้ ผมอาจจะก้าวข้ามโซนสีแดง คือ "เหนื่อยทั้งชีวิต" เพื่อทำงานแลกเงิน เข้าสู่โซนสีน้ำเงิน "ให้ระบบทำงานแทนตลอดชีวิต" มุ่งเข้าสู่อิสรภาพทางการเงิน และอิสรภาพทางการใช้ชีวิต ก็เป็นได้ ไผสิไปฮู้!!!

      >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<




วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ครบ 1 ปี กับการลงทุนในกองทุนรวม


                  28 ม.ค.58 เป็นวันแรกที่เริ่มลงทุนกับกองทุนรวม..

     หลังจากที่ศึกษาการลงทุนจนมั่นใจแล้วว่าคงถึงเวลาซักที ที่จะเริ่มลงทุน และทำการคัดเลือกกองทุน จนได้กองทุนที่จะลงทุนแล้ว ผมจึงตัดสินใจไปเปิดบัญชีที่ธนาคารกรุงศรีฯ พร้อมเงินลงทุน 5,000 บาท ถึงจะเป็นเงินที่น้อยนิด แต่วินาทีนั้นผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ยิ่งกว่าตอนไปสัมภาษณ์งานครั้งแรกซะอีก..

     กองทุนแรกที่ผมลงทุนก็คือ กองทุน KFSDIV เป็นกองทุนหุ้น ที่มีนโยบายจ่ายปันผล เหตุผลที่เลือกกองนี้ก็เพราะว่า จากสถิติ กองทุนนี้จะจ่ายปันผลทุกไตรมาส ซึ่งมีผลกับจิตวิทยาการลงทุนของผมมาก เนื่องจาก ผมเป็นมือใหม่ เงินลงทุนยังน้อย จะไปคาดหวังผลตอบแทนสูงๆ คงเป็นไปได้ยาก แต่การที่กองทุนจ่ายปันผลให้ผมทุกๆ 3เดือน จะทำให้ผมมีกำลังใจในการใส่เงินลงทุนทุกๆเดือน ไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พอร์ตการลงทุนของผมใหญ่ขึ้น และตลาดหุ้นกลับมาดีขึ้น พอร์ตผมมีกำไร ผมก็อาจจะขายกองทุนออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อไปลงทุนในกองทุนอื่น หรือไปลงทุนในหุ้นรายตัวต่อไป..

     กองทุนที่ 2 ก็คือ กองทุน KFSPLUS เป็นกองทุนตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนประมาณเงินฝากประจำ สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ ซึ่งผมเห็นว่า เหมาะกับภรรยาผมเป็นอย่างยิ่ง ผมพาภรรยาไปถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ก้อนแรก 50,000 บาท เพื่อไปเปิดบัญชีกองทุน ที่ธนาคารกรุงศรีฯ อีกครั้ง หลังจากลงทุนไปก้อนแรก ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ปรากฎว่ามูลค่ากองทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทีละนิดทีละหน่อย จากนั้นภรรยาผมก็เลยโยกเงินจากบัญชีออมทรัพย์มาลงทุนในกองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ..

     กองทุนที่ 3 ก็คือ กองทุน B-LTF เป็นกองทุนหุ้นระยะยาว ที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ช่วงยื่นภาษีของทุกๆปี ภรรยาผมก็จะมาบ่นให้ฟังว่าเสียภาษีเยอะ ไม่มีอะไรไปลดหย่อนภาษีเลย ผมจึงแนะนำกองทุนนี้ให้เค้าฟัง ก่อนที่จะตัดสินใจไปเปิดบัญชีนี้ที่ธนาคารกรุงเทพ และตั้งใจว่าจะลงทุนให้เต็มตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนด...


     อย่างที่ผมเคยเล่าไปว่า "การลงทุนคือแผนการ" เรียบง่าย ต่อเนื่อง ไม่ซับซ้อน อดทนรอคอยได้ ผมตั้งใจว่าจะลงทุนไปเรื่อยๆทุกๆเดือน และศึกษาการลงทุนรูปแบบอื่นๆควบคู่กันไป ที่เห็นในรูป เป็นพอร์ตโฟลิโอของผมและภรรยา ผลตอบแทนการลงทุนในปีแรก -3.93% ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นไทยที่ตกลงมาตลอดทั้งปี แต่เมื่อการลงทุนคือแผนการ เราจะไม่ตกใจกลัวจนขายทิ้ง รอโอกาสที่ตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก >>...ถึงวันนั้นการลงทุนของผมจะเป็นยังไง รอติดตามในบทความต่อๆไป นะครับ...<<

     >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ความคลั่งไคล้ สู่ เป้าหมายที่ชัดเจน


     หลายคนคงเคยคลั่งไคล้ดารา นักแสดง นักกีฬา ติดตามเป็นแฟนคลับ ไปให้กำลังใจทุกที่ หรืออะไรก็ตามแต่..

     ผมก็เป็นคนนึงที่ศึกษาเรื่องการเงินการลงทุนมาซักประมาณ 1 ปีเต็ม เห็นกูรู กูรู้ ทางการเงินมาก็มาก (เห็นในโลกออนไลน์ อิอิ) ทั้งตัวจริง ตัวปลอม แต่สองท่านที่ทำให้ผมเกิดอาการคลั่งไคล้ แทบจะเลียผ่าด๊ากกกส์!! เห็นจะมีอยู่สองท่านคือ พี่เอ (A-Academy) และ โค้ชหนุ่ม (The Money Coach)


พี่เอ A-Academy เจ้าของเว็ปไซด์ www.a-academy.net
โค้ชหนุ่ม The Money Coach เจ้าของเว็ปไซด์ www.moneycoach4thai.com
     ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้ที่เปลี่ยนทัศนคติทางการเงินและการลงทุนของผมและภรรยา อย่างแท้จริง พวกเราติดตามดู Youtube อ่านบทความ ซื้อหนังสือ ฯลฯ ที่เกี่ยวกับทั้งสองท่านนี้แทบจะทุกคลิป ทุกบทความ ทุกตัวอักษรเลยก็ว่าได้

     ทำไมผมและภรรยา ถึงได้คลั่งไคล้ขนาดนี้...ก็เพราะว่าทั้งสองท่านมีจิตสาธารณะ ให้ความรู้โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ให้เพราะอยากแบ่งปันประสบการณ์ ให้เพราะอยากเห็นคนไทยมีความรู้ทางการเงินที่ดี ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่า...

"พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน"

     7-8 พ.ย.58 ผมและภรรยาเดินทางไปสัมมนา "Money Literacy จุดเริ่มต้นสู่อิสรภาพทางการเงิน รุ่นที่ 6" ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อไปพบกับ Idol ของพวกเราทั้งสองท่าน..



     บอกตรงๆว่า จริงๆเนื้อหาในงานสัมมนา ผมและภรรยา เคยฟังมาเกือบจะทั้งหมดแล้วแหละ เพียงแต่ว่าผมต้องการไปซึมซับบรรยากาศ ไปเพิ่มไฟในตัวให้ลุกโชนให้เดินทางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไปสัมผัส และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ Idol ตัวจริงของพวกเรา ไปพบปะกับเพื่อนใหม่ๆที่มีแนวความคิดเดียวกัน..

     จริงๆแล้ว ก่อนไปสัมมนา ผมปรับเป้าหมายจากเดิมที่เคยเขียนไว้ ตั้งแต่ 5 ม.ค.58 ให้ชัดเจนขึ้น ติดใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ ตั้งแต่ 20 ต.ค.58 
     
     ทำไมต้องใส่กระเป๋าสตางค์??....ก็เพราะว่าผมจะได้เห็นมันทุกวัน เตือนสติทุกวัน คิดทุกวัน ว่าเราจะทำยังไงให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ และนี่คือเป้าหมายใหม่ของผมครับ..

ความคลั่งไคล้ สู่ เป้าหมายที่ชัดเจน
     เป้าหมายที่ 1 : มีกระแสเงินสดโดยไม่ต้องทำงาน (Passive Income) 15,000 บาท/เดือน ภายใน 3 ปี                                  (ให้ภรรยาออกจากงานประจำ)

     เป้าหมายที่ 2 : มีกระแสเงินสดโดยไม่ต้องทำงาน (Passive Income) 30,000 บาท/เดือน ภายใน 5 ปี                                  (มีอิสรภาพทางการเงิน ออกจากงานประจำทั้งสองคน)

     เป้าหมายที่ 3 : มีอพาร์ทเม้นต์ให้เช่า 1 หลัง ภายใน 7 ปี (ออกไปให้ความรู้ทางการเงิน)

                                       >> ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<




วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

การลงทุนคือแผนการ



           จริงๆแล้ว น่าจะใช้คำว่า "การลงทุนคือแผนการ แบบง่ายๆโง่ๆ" น่าจะถูกกว่า..

     เพราะแผนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ของผมไม่มีอะไรมาก คือ ลงทุนเป็นประจำทุกเดือน อย่างน้อย 20% ของเงินเดือน ตามแผนการลงทุนที่พี่เอ A-Academy ได้ทำตาราง Excel ไว้ให้โหลดมาใช้งาน..
Investment Planner by A-Academy

     วันที่ผมได้กรอกตัวเลขตามตาราง Excel ตามรูปนั้น ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะ ไอ้การที่ผมลงทุนแบบง่ายๆโง่ๆนี้ เมื่อถึงตอนที่ผมอายุ 55 ปี ผมสามารถมีเงิน 10ล้านบาทได้ โดยเงื่อนไขคือ 

1. ผมต้องลงทุนรายเดือนอย่างน้อย 20% ของเงินเดือน
2. สมมุติให้รายได้ของผม เพิ่มขึ้น 4% ทุกๆปี
3. ผมต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี (ซึ่งทำให้ผมต้องลงทุนในกองทุนหุ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 10-12% ต่อปี)
4. ปีที่เริ่มต้นคือ เมื่อผมอายุ 28ปี บริบูรณ์
5. ต้องลงทุนในกองทุนรวมหุ้น 100% เท่านั้น

     อย่าว่าแต่ 10ล้านบาทเลยครับ แค่ แสนเดียว ผมก็ดีใจจะตายห่าแล้ว!! เพราะตั้งแต่เรียนจบ ทำงานมาประมาณ 4ปี ก่อนแต่งงาน เงินเก็บซักบาทยังไม่มีเลย แถมแต่ละเดือน เงินยังไม่พอใช้อีกต่างหาก.. 

     ผมคิดว่าการลงทุนมันเป็นจิตวิทยา ก็ในเมื่อเงินลงทุนเริ่มต้นของเรายังไม่มาก เราก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆตามแผนการนี้ไปก่อน โดยใช้สมการการออมง่ายๆแบบนี้ครับ...

รายได้ - เงินออม = รายจ่าย

     วันที่เงินเดือนเข้าบัญชี ผมจะทำการหัก 20% ไปลงทุนในกองทุนรวมทันที ส่วนที่เหลือก็โอนให้เมีย อิอิ บัญชีเงินเดือนของผมก็ว่างเปล่า ไม่มีโอกาสได้จับเงิน 55555 

     ที่ผมได้ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนนึงของพอร์ตการลงทุนของผมนะครับ นี่ยังไม่รวมการลงทุนในส่วนอื่นๆ ซึ่งผมจะยกมาเล่าให้ฟังในโพสต์ต่อๆไป..

         >>ติดตามบทความอื่นๆ คลิ๊กที่นี่!! <<